ชาวยูเครนเตรียมเข้าสู่ปีที่ 4 ในการรับมือกับความเป็นจริงในชีวิตประจำวันระหว่างความขัดแย้งกับรัสเซีย หลายคนคงคิดว่าเศรษฐกิจของประเทศคู่สงครามทั้งสองจะดีขึ้นเมื่อเทียบกัน
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเงินเฟ้อที่เผยแพร่ทั้งสองฝั่งของชายแดนแสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่อเนื่องของความขัดแย้งที่มีต่อพลเมืองของทั้งสองประเทศ โดยราคาสินค้าพุ่งขึ้น 9.5% ในรัสเซีย และ 12% ในยูเครน
เศรษฐกิจมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของรัสเซียทรุดตัวลงเหลือ -1.3% ในช่วงเริ่มต้นของสงคราม แต่หลังจากนั้นก็ฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ 3.6% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตามข้อมูลของ IMF GDP ของยูเครนทรุดตัวลง 36% ในช่วงฤดูร้อนของปี 2022 ก่อนที่จะปิดปีด้วยการลดลง 28.3% ก่อนที่จะดีดตัวกลับขึ้นมาอยู่ที่ 5.3% ในปี 2023 และ 3% ในปี 2024
แม้จะมีการคว่ำบาตรในวงกว้าง แต่โรงงานของรัสเซียยังคงจัดหาส่วนประกอบและวัตถุดิบที่จำเป็นต่อการผลิตเครื่องจักรสงครามต่อไป เงินทุนที่ไหลเข้ามาจากการขายน้ำมันอย่างผิดกฎหมาย และในระดับที่น้อยกว่าคือ ก๊าซธรรมชาติ นิกเกิล และแพลตตินัม ทำให้สามารถขยายกลไกของรัฐที่เมื่อ 18 เดือนที่แล้วดูเหมือนจะล้มเหลวได้
คริสโตเฟอร์ เดนท์ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และธุรกิจระหว่างประเทศ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเอจฮิลล์ กล่าวว่า ความพยายามของประธานาธิบดีรัสเซียในการสร้างความหายนะเเละการควบคุมยูเครน ทำให้ยูเครนกลายเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับนักลงทุนหากสงครามยุติลง จากตลาดไฟฟ้าที่แข็งแกร่งขึ้น แม้จะเกิดระเบิดที่โรงไฟฟ้าและสายส่งไฟฟ้าก็ตาม
ปี 2023 ผู้ก่อการร้ายชาวรัสเซียที่คาดว่าก่อเหตุระเบิดโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Kakhovka รูโหว่ในเขื่อนส่งผลให้มีน้ำหลายล้านลิตรไหลบ่าเข้าสู่เมืองและหมู่บ้าน ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรอบได้รับความเสียหายอย่างน้อย 2 พันล้านดอลลาร์
ตั้งแต่นั้นมาการฟื้นตัวได้เกิดขึ้น ในขณะที่การนำเข้าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่งจาก 123 GWh เป็น 183GWh ตั้งแต่เดือนมกราคม 2024 จนถึงเดือนมกราคมที่ผ่านมา การส่งออกก็พุ่งสูงขึ้นจากเพียง 5GWh เป็น 85GWh ในช่วงเวลาเดียวกัน
สิ่งนี้สะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มมากขึ้นของยูเครนในซูเปอร์กริดของยุโรป โดยมีการส่งออกไฟฟ้าไปยัง มอลโดวา ฮังการี และโรมาเนียเป็นหลัก
ท่าเรือของยูเครนบนทะเลดำยังคงเปิดให้บริการและการค้าขายก็ไหลไปทางตะวันตกตามแม่น้ำดานูบ และในระดับที่น้อยกว่านั้นก็ใช้รถไฟ ขณะเดียวกันภาคเกษตรกรรมก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างมาก
เมื่อมองไปในอีก 10 ปีข้างหน้า ยูเครนจะมีแหล่งโลหะอุดมสมบูรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแร่หายาก โดยมีการประมาณการว่ามีมูลค่าถึง 11 ล้านล้านดอลลาร์
รายได้ภาษีเดือนธันวาคมปรับตัวดีขึ้น 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากบริษัทต่างๆ จ่ายภาษีเพิ่มขึ้น และภาษีเงินได้ฟื้นตัวขึ้นประมาณ 60% รายได้ที่เพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่งมาจากภาษีสรรพสามิตที่เพิ่มขึ้น 150% ซึ่งช่วยเติมเต็มคลังของรัฐบาล
ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและบริการสาธารณะส่วนใหญ่ได้รับการชำระโดยหน่วยงานต่างประเทศ รวมถึงเงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และยังคงชำระอยู่จนถึงปัจจุบัน
ตลาดแรงงานคึกคักน้อยกว่าก่อนเกิดการรุกรานครั้งใหญ่
ตามที่ศูนย์กลยุทธ์เศรษฐกิจในกรุงเคียฟ กล่าวว่า ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนคนที่ตกงานจากหน่วยงานวิจัย Info Sapiens ประมาณการว่า อัตราการว่างงานอยู่ที่ 16.8% ในเดือนมกราคม ซึ่งนายจ้างยังคงขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะจากชาวยูเครนที่อพยพไปต่างประเทศและการระดมพลเข้ากองกำลังป้องกันประเทศ
การผลิตเหล็กและเหล็กกล้ายังคงเป็นเพียงเศษเสี้ยวของระดับก่อนสงคราม ซึ่งโรงงานต่างๆ ผลิตเหล็กกล้าได้ประมาณ 1.5 ล้านตันต่อเดือน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 0.6 ล้านตันในปีที่แล้ว
จึ่งเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งที่ทำให้รายได้ประชาชาติประจำปีของยูเครนยังคงต่ำกว่าระดับก่อนสงครามประมาณ 20% การประชุมในกรุงโรม เพื่อหารือเกี่ยวกับการฟื้นตัวของยูเครน คาดว่า จำเป็นต้องใช้เงินอย่างน้อย 500,000 ล้านดอลลาร์ในการฟื้นฟูประเทศเมื่อการสู้รบยุติลง
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการคว่ำบาตร
ข้อมูลจาก Capital Economics ระบุว่า การเจรจาระหว่างทรัมป์กับปูตินเป็นไปในแนวทางที่อาจไม่มีการรับประกันความปลอดภัยสำหรับยูเครน ส่งผลให้มีความเป็นไปได้ที่ความขัดแย้งจะปะทุขึ้นอีกครั้งในอนาคต ซึ่งอาจจำกัดจำนวนเงินทุนที่นักลงทุนอาจเต็มใจที่จะลงทุนเพื่อการฟื้นฟูยูเครน
นอกจากนี้ยังอาจส่งผลลบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค หากความเสี่ยงที่รับรู้ในการทำธุรกิจบนชายแดนด้านตะวันออกของนาโต้เพิ่มขึ้น ความต้องการการป้องกันประเทศที่มากขึ้นอาจกดดันสถานะทางการคลังที่ตึงตัวอยู่แล้ว
รายงานที่ว่า รัสเซียอาจยินดีที่จะเสียสละสินทรัพย์มูลค่า 3 เเสนล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้ในศูนย์กลางการเงินของยุโรปเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงยุติการคว่ำบาตร อาจชดเชยกับการขาดแคลนผู้บริจาคระหว่างประเทศได้ แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่น่าจะเป็นไปได้ในขั้นตอนนี้
สำหรับรัสเซีย ผลกระทบทางเศรษฐกิจของข้อตกลงสันติภาพใดๆ จะขึ้นอยู่กับขอบเขตของการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรเป็นส่วนใหญ่ ความคืบหน้าในสัปดาห์นี้บ่งชี้ว่าความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะยกเลิกการคว่ำบาตรมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสินทรัพย์ของรัสเซีย
แม้ว่ายุโรปอาจไม่เต็มใจ หากข้อตกลงไม่เอื้ออำนวยต่อยูเครน แต่ผู้นำบางคน เช่น วิกเตอร์ ออร์บัน แห่งฮังการี อาจเดินตามแนวคิดของสหรัฐฯ และยับยั้งการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร ลักษณะของข้อตกลงสันติภาพใดๆ อาจมีบทบาทสำคัญในการกำหนดว่าพลังงานของรัสเซียจะกลับมาได้เร็วแค่ไหน
ความล้มเหลวของสหรัฐและยุโรปในการส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดต่อยูเครน เกี่ยวกับความมุ่งมั่นทางการเงินและการทหารต่อยูเครนเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้รัสเซียมีความแข็งแกร่ง
รัสเซียสามารถเร่งเพิ่มการผลิตทางทหารและจ่ายค่าชดเชยในระดับสูงแก่ครอบครัวชาวรัสเซียที่ได้รับผลกระทบจากการเกณฑ์ทหาร ซึ่งส่วนใหญ่มาจากรายได้จากน้ำมันที่ผิดกฎหมาย
ซึ่งอินเดีย เป็นลูกค้ารายสำคัญของน้ำมันรัสเซียและร่วมกับจีนก็กลายเป็นแหล่งที่มาของเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับรัฐบาลของปูติน
การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้รายได้ประจำชาติของรัสเซียเติบโตตลอดช่วงสงคราม แม้ว่าผลผลิตส่วนใหญ่จะไม่ได้มุ่งไปที่สินค้าและบริการอุปโภคบริโภคอีกต่อไป แต่เป็นฮาร์ดแวร์ทางทหารก็ตาม
ริชาร์ด คอนโนลลี ผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซียจากสถาบัน Royal United Services Institute โต้แย้งกับผู้ที่เชื่อว่าเครื่องจักรสงครามของรัสเซียและเศรษฐกิจเบื้องหลังกำลังหมดแรง
โดยระบุว่า ตลาดมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้ระบบปรับตัวและมีความคล่องตัว และรัฐก็แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับรองว่ามีการระดมทรัพยากรเพียงพอเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคง ตราบใดที่ดุลยภาพนี้ยังคงอยู่ รัสเซียจะสามารถสร้างทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่จำเป็นเพื่อรักษาอำนาจทางทหารให้เพียงพอสำหรับการทำสงครามในยูเครน และในระยะยาวเพื่อเตรียมการสำหรับการเผชิญหน้ากับตะวันตกในระยะยาว
ทรัมป์ผลักดันข้อตกลง
สิ่งที่น่ากังวลสำหรับปูตินก็คือ เป้าหมายสูงสุดของทรัมป์ไม่ได้มีเพียงแค่ลดร่างกฎหมายช่วยเหลือของสหรัฐต่อยูเครนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลดราคาน้ำมันลงอย่างถาวรด้วย
อัตราเงินเฟ้อของรัสเซียอาจต่ำกว่าของยูเครน แต่ดอกเบี้ยที่จำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้เงินเฟ้อสูงขึ้นนั้นสูงถึง 21% ซึ่งถือว่าสูงเกินไป ต้นทุนการกู้ยืมของยูเครนอยู่ที่ 14.5% ลดลงจาก 22% ในปี 2022
เคียร์มลินล้มเหลวในการยุติการพึ่งพาราคาน้ำมันและก๊าซที่ผันผวนของประเทศเพื่อชำระค่าบริการสาธารณะ
ผู้ใช้รายใหญ่ที่สุดของยุโรป แม้จะยอมรับข้อตกลงสันติภาพจากทรัมป์ ก็ไม่น่าจะเปิดท่อส่งก๊าซที่ปิดไปแล้วหรือซื้อน้ำมันจากรัสเซียอีก
นั่นทำให้รัฐเซียต้องพึ่งพาจีนและอินเดียในการซื้อน้ำมันและก๊าซในระยะยาว ซึ่งไม่น่าจะเพียงพอ