ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปกำลังสั่นสะเทือน เมื่อ "โดนัลด์ ทรัมป์" ตัดสินใจเจรจากับ "วลาดิมีร์ ปูติน" ผู้นำรัสเซียโดยตรงเพื่อหาทางออกให้กับ สงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ยูเครนและพันธมิตรยุโรปกลับไม่ได้มีส่วนร่วมในการเจรจาครั้งนี้ การประชุมที่จัดขึ้นในกรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย ระหว่าง มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย กลายเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลทรัมป์ต้องการพลิกฟื้นความสัมพันธ์กับรัสเซีย ซึ่งขัดกับแนวทางของรัฐบาลสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ที่มุ่งใช้มาตรการคว่ำบาตรและแรงกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อให้มอสโกยอมถอยจากยูเครน
สำหรับรัสเซีย นี่อาจถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญ แม้จะยังไม่มีการเจรจาระดับผู้นำระหว่างทรัมป์และปูตินโดยตรง แต่การที่สหรัฐฯ ยอมเข้าร่วมการประชุมนี้เป็นการส่งสัญญาณว่าวอชิงตันกำลังให้ความสำคัญกับการ "คืนสถานะ" ให้กับรัสเซียในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ การเจรจาครั้งนี้ยังเกิดขึ้นในขณะที่กองทัพรัสเซียยังคงเดินหน้ากดดันแนวรบของยูเครนในภาคตะวันออก โดยเฉพาะเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างอาวดีอีฟกาและบักมุต
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้กับยูเครนและยุโรปคือการที่พวกเขาถูกกีดกันออกจากการเจรจา ยูเครนซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามนี้ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วม ขณะที่ผู้นำยุโรปต้องทราบข่าวการประชุมผ่านสื่อมากกว่าการได้รับแจ้งโดยตรงจากวอชิงตัน
"โวโลดีมีร์ เซเลนสกี" ประธานาธิบดียูเครน แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน โดยกล่าวว่า "จะไม่มีข้อตกลงใดที่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีส่วนร่วมของยูเครน" พร้อมย้ำว่ายูเครนจะไม่ยอมรับข้อตกลงที่เป็นการบังคับให้พวกเขาต้องเสียสละอธิปไตยเพียงเพราะต้องการให้สงครามจบลงโดยเร็ว
สำหรับยุโรป เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การเจรจาสันติภาพของยูเครน แต่เป็นประเด็นที่กระทบต่อโครงสร้างด้านความมั่นคงของทั้งทวีป ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณหลายครั้งว่าเขาไม่ต้องการให้สหรัฐฯ เป็นผู้ค้ำประกันความมั่นคงของยุโรปอีกต่อไป พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมของทรัมป์ ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯ จะไม่ส่งกำลังทหารเข้าไปเกี่ยวข้องกับภารกิจรักษาสันติภาพในยูเครน และยุโรปต้องเพิ่มงบประมาณกลาโหมขึ้นเป็น 5% ของ GDP หากต้องการรักษาความมั่นคงของตนเอง คำประกาศนี้ทำให้ยุโรปต้องกลับมาทบทวนบทบาทของตัวเองในเวทีโลก
ผู้นำยุโรปต่างเร่งประชุมหารือเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ได้เรียกประชุมฉุกเฉินเพื่อกำหนดท่าทีต่อการเจรจาของสหรัฐฯ กับรัสเซีย
เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส กล่าวหลังจากพูดคุยกับทรัมป์และเซเลนสกีว่า "ยุโรปจะต้องมีบทบาทในการกำหนดอนาคตของยูเครน และจะไม่ยอมให้มีข้อตกลงที่ละเลยเสียงของพันธมิตร" ในขณะที่สหราชอาณาจักรและสวีเดนแสดงความพร้อมในการส่งทหารรักษาสันติภาพไปยังยูเครน ขณะที่เยอรมนีและโปแลนด์ยังลังเล
ความเคลื่อนไหวของทรัมป์สะท้อนให้เห็นว่าเขามองปูตินเป็นหนึ่งใน "ผู้นำที่มีพลัง" ซึ่งควรได้รับความเคารพมากกว่าการถูกกีดกันออกจากเวทีระหว่างประเทศ หลายฝ่ายเชื่อว่าทรัมป์ต้องการให้เกิดข้อตกลงอย่างรวดเร็วเพื่อใช้เป็นความสำเร็จทางการเมืองของตนเองและเป็นปัจจัยหนุนให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการของทรัมป์ทำให้พันธมิตรยุโรปต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่
ประเด็นสำคัญอีกข้อที่ถูกพูดถึงคือการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย คิริลล์ ดมิทรีเยฟ นักลงทุนรัสเซียเปิดเผยว่าบริษัทอเมริกันสูญเสียมากกว่า 300 พันล้านดอลลาร์จากการถอนตัวออกจากตลาดรัสเซีย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าธุรกิจในสหรัฐฯ อาจเริ่มกดดันให้รัฐบาลทรัมป์ลดการคว่ำบาตรรัสเซียเพื่อเปิดโอกาสในการกลับเข้าไปลงทุนอีกครั้ง
การเจรจาสันติภาพครั้งนี้แม้อาจนำไปสู่การหยุดยิง แต่ยังคงมีความเสี่ยงสูงที่รัสเซียอาจใช้ข้อตกลงนี้เป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจเหนือดินแดนที่ยึดครอง และอาจกลับมารุกรานอีกครั้งในอนาคต ขณะเดียวกัน หากทรัมป์ผลักดันให้ยูเครนต้องยอมรับเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ต่อรัสเซียโดยไม่มีหลักประกันความปลอดภัยที่ชัดเจน ยุโรปจะต้องเผชิญกับภาวะที่ต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น และอาจต้องเร่งเสริมสร้างศักยภาพทางทหารเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ
สิ่งที่ชัดเจนที่สุดจากเหตุการณ์ครั้งนี้คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การตัดสินใจของทรัมป์ที่เดินหน้าจับมือปูตินโดยไม่ปรึกษาพันธมิตร อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ยุโรปต้องตัดสินใจว่า จะเป็นผู้นำในการปกป้องความมั่นคงของตัวเอง หรือจะยังพยายามรักษาสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ต่อไปท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ที่ไม่แน่นอน