เศรษฐกิจโลกเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ตั้งแต่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ไปจนถึงวิกฤตด้านห่วงโซ่อุปทาน และแล้ว นโยบายภาษีศุลกากรโต้ตอบแบบ "หนึ่งต่อหนึ่ง" (One-for-One Tariff Plan) ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาเพิ่มระดับความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจโลกไปอีกขั้น
ทรัมป์เสนอหลักการง่ายๆ ที่ไม่ง่ายว่า หากสหรัฐฯ ต้องเสียภาษีนำเข้าสินค้าสูงในต่างประเทศ สหรัฐฯ ก็ควรเก็บภาษีในอัตราเดียวกันกับสินค้านำเข้าจากประเทศนั้นๆ แม้ว่าจะฟังดูเป็นนโยบายที่เน้น "ความยุติธรรม" ทางการค้า แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การคำนวณอัตราภาษีที่เท่าเทียมกันกับสินค้าหลายพันรายการจากกว่า 150 ประเทศทั่วโลกเป็นเรื่องซับซ้อน
นโยบายนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น โดยเฉพาะกับธุรกิจอเมริกันที่พึ่งพาชิ้นส่วนและวัตถุดิบจากต่างประเทศ รวมถึงผู้บริโภคที่อาจต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค
"อาจเป็นงานที่หนักหนาสาหัส" เท็ด เมอร์ฟี ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศจากสำนักงานกฎหมาย Sidley Austin กล่าว "สำหรับสินค้าแต่ละประเภท เราอาจต้องเผชิญภาษีจาก 150 ประเทศที่แตกต่างกัน"
ทรัมป์ลงนามคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาวิธีดำเนินนโยบายนี้ ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงที่อัตราภาษีใหม่จะเพิ่มต้นทุนการใช้ชีวิตของชาวอเมริกันในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นปัญหา และอาจกระทบต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
นโยบายของทรัมป์มุ่งเปลี่ยนแปลงระบบการค้าระหว่างประเทศที่พึ่งพาองค์การการค้าโลก (WTO) มานานหลายทศวรรษ ไปสู่ยุคที่ข้อตกลงการค้าถูกกำหนดผ่านการเจรจาระหว่างประเทศแบบรายคู่
สิ่งนี้อาจสร้างปัญหาเพิ่มเติมให้กับห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งเผชิญความปั่นป่วนมาตั้งแต่สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน การปิดกั้นช่องทางขนส่งอย่างคลองสุเอซและคลองปานามา และต้นทุนค่าขนส่งสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น
ภาคธุรกิจที่พึ่งพาการนำเข้าได้รับผลกระทบโดยตรง อาทิ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สมาคมการค้า IPC เตือนว่า "การเพิ่มภาษีจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ห่วงโซ่อุปทานเสียหาย และส่งผลให้ธุรกิจอเมริกันต้องย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศ"
ขณะที่บริษัทค้าปลีกอย่าง Walmart และ Columbia Sportswear ได้เริ่มย้ายฐานการสั่งซื้อจากจีนไปยังอินเดียและเม็กซิโกเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
แม้ว่าทรัมป์จะอ้างว่านโยบายนี้จะเป็นประโยชน์ต่อแรงงานอเมริกัน แต่การศึกษาในอดีตแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมักเป็นผู้แบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น หลังจากที่ทรัมป์กำหนดภาษีนำเข้าเครื่องซักผ้า 50% ในปี 2018 ราคาขายปลีกเครื่องซักผ้าในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 12% หรือเฉลี่ย 86 ดอลลาร์ต่อเครื่อง
จีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ต่างจับตามองความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด และอาจตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีของตนเอง หากเกิดขึ้นจริง จะทำให้การแข่งขันในตลาดโลกยิ่งดุเดือดขึ้น
นักวิเคราะห์บางคนมองว่าทรัมป์อาจใช้กลยุทธ์นี้เป็นเครื่องมือเจรจาต่อรอง เพื่อกดดันให้ประเทศอื่นลดภาษีของตน แทนที่จะเป็นการขึ้นภาษีฝ่ายเดียว
ภายใต้รัฐบาลของทรัมป์ อุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากต่างประเทศ เช่น ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ อาจได้รับผลกระทบหนัก โดย ฟอร์ด มอเตอร์ ออกมาเตือนว่า "ภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐฯ อย่างรุนแรง"
ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า หากมาตรการภาษีใหม่ถูกบังคับใช้จริง อาจทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น และกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย
ในอดีต ทรัมป์เคยใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกดดันคู่ค้า และยังมีแนวโน้มว่านโยบายภาษีโต้ตอบนี้จะถูกนำมาใช้ในรูปแบบที่เข้มข้นขึ้น นโยบายภาษีศุลกากรโต้ตอบของทรัมป์ 2.0 อาจสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการค้าโลก โดยส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค ธุรกิจ และห่วงโซ่อุปทาน หากถูกนำมาใช้จริง อาจนำไปสู่สงครามภาษีรอบใหม่ และทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ