สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2567 เผยให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีทั้งประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงและประเทศที่ยังเผชิญความยากจนอย่างหนัก รายงานล่าสุดจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ระบุว่า มีประชากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ราว 4.7 ล้านคนที่ตกอยู่ในภาวะยากจนขั้นรุนแรงตั้งแต่ปี 2564 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบจากโควิด-19 ภาวะเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนทางการเมือง
จากการจัดอันดับโดย IMF ประเทศที่มีผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ (GDP) ต่อหัวต่ำที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปี 2567 มีดังนี้
เมียนมาเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในภูมิภาค โดย GDP ต่อหัวลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดรัฐประหารในปี 2564 รายงานของ UNDP ชี้ว่า ชนชั้นกลางของเมียนมาหดตัวลงถึง 50% ประชาชนจำนวนมากต้องลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาและสาธารณสุข รวมถึงต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อความอยู่รอด
ติมอร์-เลสเตยังคงเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอินโดนีเซียในปี 2545 ปัญหาหลักคือการขาดโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอและการพึ่งพาน้ำมันเป็นแหล่งรายได้หลัก นอกจากนี้ อัตราการขาดสารอาหารในเด็กสูงถึง 47%
ลาวได้รับผลกระทบหนักจากภาวะเงินเฟ้อในปี 2567 โดย 81% ของครัวเรือนได้รับผลกระทบ และกว่า 60% ต้องลดปริมาณอาหารที่บริโภค ส่งผลให้ปัญหาการขาดสารอาหารรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP
แม้ว่ากัมพูชาเคยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึง 7.6% ต่อปีในช่วง 2538-2562 แต่ผลกระทบจากโควิด-19 และราคาสินค้าพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ GDP ต่อหัวลดลงและการว่างงานเพิ่มขึ้น
แม้ฟิลิปปินส์จะมีเศรษฐกิจที่เติบโตได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ยังคงสูง โดยอัตราความยากจนอยู่ที่ 10.9% หรือคิดเป็น 2.99 ล้านครอบครัวที่ยังขาดรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางสูง โดยข้อมูลจาก World Bank ระบุว่า GDP ต่อหัวของไทยในปี 2566 อยู่ที่ 21,142.66 ดอลลาร์สหรัฐฯ (PPP) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกประมาณ 19%
รายงานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 เติบโต 3.2% โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว 3.4% และการลงทุนภาครัฐที่เติบโตถึง 39.4% อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนหดตัวลง 2.1% ส่วนหนึ่งมาจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์
ปัจจัยที่สนับสนุนเศรษฐกิจไทย ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง นโยบายการลงทุนที่เปิดกว้าง และความสามารถในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายสำคัญ ได้แก่ การพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูง ความไม่แน่นอนทางการเมือง และสัดส่วนแรงงานนอกระบบที่ยังคงสูง
ในระดับโลก แนวโน้มประเทศที่มี GDP ต่อหัวสูงที่สุดในปี 2568 ยังคงเป็น ลักเซมเบิร์ก โดยมี GDP ต่อหัวสูงถึง 154,910 ดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลกและมีอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว
เมื่อพิจารณาถึงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในอาเซียนและระดับโลก จะเห็นได้ว่าปัจจัยทางการเมือง สังคม และทรัพยากรธรรมชาติมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยตรง ประเทศที่มีความมั่นคงทางนโยบายและการพัฒนาอย่างยั่งยืนมักจะมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า ขณะที่ประเทศที่เผชิญปัญหาความขัดแย้งภายในและระบบเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคงจะต้องเผชิญความท้าทายต่อไปในอนาคต
แม้ว่าไทยจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ยากจนที่สุดในอาเซียน แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศยังต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ ในขณะที่หลายประเทศเช่นเมียนมาและติมอร์-เลสเตยังต้องดิ้นรนกับปัญหาพื้นฐาน เช่น ความไม่มั่นคงทางการเมืองและการขาดโครงสร้างพื้นฐาน
อ้างอิง: Tempo, World Population Review, Global Finance Magazine, NESDC, Indian Express