คำสั่งซื้อส่งออกของไต้หวันลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือนในเดือนมกราคม ท่ามกลางความต้องการสินค้าเทคโนโลยีที่อ่อนตัวลงเนื่องจากปัจจัยฤดูกาล อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไต้หวันยังคงมีมุมมองเชิงบวก โดยคาดว่าความต้องการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยพยุงการเติบโตของภาคการส่งออกในระยะยาว
กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวันรายงานว่า คำสั่งซื้อส่งออกของประเทศลดลง 3.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 46.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ของ Reuters คาดการณ์ไว้ที่ 1.8% และสวนทางกับการขยายตัว 20.8% ในเดือนธันวาคม การหดตัวนี้ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์สินค้าเทคโนโลยี รวมถึงการหยุดทำการในช่วงตรุษจีนที่กินเวลาหนึ่งสัปดาห์
คำสั่งซื้อส่งออกของไต้หวันเป็นตัวชี้วัดสำคัญของแนวโน้มความต้องการสินค้าเทคโนโลยีทั่วโลก เนื่องจากไต้หวันเป็นแหล่งผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีบริษัทชั้นนำ เช่น Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) เป็นผู้เล่นหลักในตลาด
แม้ว่ารัฐบาลไต้หวันยังมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับการเติบโตของภาคเทคโนโลยี แต่ความไม่แน่นอนทางการค้าก็เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มในปีนี้ หนึ่งในความเสี่ยงที่ชัดเจนคือ นโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเคยเสนอแนวคิดการขึ้นภาษีชิปนำเข้า 25% หากเขากลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง
หากมาตรการดังกล่าวถูกนำมาใช้จริง อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันอาจเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล รัฐบาลไต้หวันจึงเริ่มดำเนินการทางการทูตเพื่อบรรเทาความเสี่ยง รวมถึงแผนเจรจาเกี่ยวกับการลงทุนด้านชิปในสหรัฐฯ
ในรายละเอียดของคำสั่งซื้อส่งออก สินค้ากลุ่มโทรคมนาคมมียอดสั่งซื้อที่ลดลงถึง 13.3% ขณะที่สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเติบโตเล็กน้อยที่ 1.5%
คำสั่งซื้อจากจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไต้หวัน ลดลงถึง 18.3% เมื่อเทียบกับการเติบโต 13.6% ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ส่วนคำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 6.4% แต่ก็ลดลงจากอัตราการเติบโต 31% ในเดือนก่อนหน้า
ในส่วนของตลาดยุโรป คำสั่งซื้อลดลง 12.4% ขณะที่ตลาดญี่ปุ่นกลับมาฟื้นตัว โดยมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 8.0%
แม้จะมีปัจจัยลบในเดือนมกราคม แต่กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวันยังคาดการณ์ว่าคำสั่งซื้อส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์จะเติบโตในช่วง 15.3% - 20.6% เนื่องจากความต้องการสินค้าเซมิคอนดักเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ยังคงแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยอมรับว่า ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในอนาคต ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
แม้ว่าความต้องการเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และเซิร์ฟเวอร์จะช่วยหนุนเศรษฐกิจไต้หวัน แต่ปัจจัยแวดล้อมที่ซับซ้อน รวมถึงมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้นจากสหรัฐฯ และความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน จะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดเส้นทางการส่งออกของไต้หวันในปี 2024
นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่า หากไต้หวันสามารถเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ ได้สำเร็จ และความต้องการเทคโนโลยีขั้นสูงยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันก็ยังคงมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง แต่ในทางกลับกัน หากเกิดข้อพิพาททางการค้ารุนแรงขึ้น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไต้หวันอาจได้รับผลกระทบหนักกว่าที่คาด
อ้างอิง: Reuters