ภาษีศุลกากร (Tariffs) คือภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งผู้ที่นำเข้าสินค้าจะต้องจ่ายให้รัฐบาล โดยทั่วไปคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าของสินค้า ตัวอย่างเช่น ภาษี 10% หมายความว่าหากสินค้าราคา 10 ดอลลาร์ จะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 1 ดอลลาร์ ซึ่งต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้อาจถูกผลักไปยังผู้บริโภคในรูปแบบราคาสินค้าที่สูงขึ้น
โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งและกำลังเดินหน้าใช้ภาษีศุลกากรเป็นอาวุธหลักในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ ด้วยแนวคิด "อเมริกาต้องมาก่อน" (America First) โดยเชื่อว่าการตั้งกำแพงภาษีจะช่วยกระตุ้นการผลิตในประเทศและปกป้องแรงงานสหรัฐฯ จากการแข่งขันของสินค้าต่างชาติ
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังให้เหตุผลด้านความมั่นคงของประเทศ โดยอ้างว่าภาษีศุลกากรจะช่วยป้องกันปัญหาการอพยพผิดกฎหมาย การไหลเวียนของยาเสพติด เช่น เฟนทานิล (Fentanyl) จากจีนและเม็กซิโกเข้าสู่สหรัฐฯ รวมถึงการตอบโต้ประเทศที่มีนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายนี้มักถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภคในรูปแบบของราคาสินค้าที่สูงขึ้น ทำให้ภาษีศุลกากรส่งผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ตั้งแต่ต้นทุนการผลิตไปจนถึงค่าครองชีพของประชาชน
ในทางเศรษฐศาสตร์ "ภาษีศุลกากร" อาจช่วยสร้างรายได้ให้รัฐบาลและกระตุ้นอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่ก็อาจสร้างภาระให้ธุรกิจที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบและสินค้านำเข้า อีกทั้งยังอาจกระตุ้นให้เกิดสงครามการค้า เมื่อประเทศคู่ค้าตอบโต้ด้วยภาษีของตนเอง
ตัวอย่างในอดีตแสดงให้เห็นว่า ภาษีศุลกากรที่ โดนัลด์ ทรัมป์ บังคับใช้ระหว่างปี 2018-2019 ส่งผลให้ราคาสินค้าหลายประเภทสูงขึ้น เช่น เครื่องซักผ้าในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 34% หลังจากที่มีการตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ
การศึกษาจากหน่วยงานวิจัยทางเศรษฐกิจหลายแห่งยังพบว่า ภาษีศุลกากรของทรัมป์ในอดีตส่งผลกระทบต่อ GDP ของสหรัฐฯ ในทางลบ ลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และทำให้การจ้างงานลดลง เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ทรัมป์มีแนวคิดว่า ภาษีศุลกากรสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้โดยการลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าและสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ เป้าหมายหลักของทรัมป์ในการเรียกเก็บภาษีคือ:
ในวันที่ 12 มีนาคม 2025 สหรัฐฯ จะเริ่มใช้ภาษีศุลกากร 25% กับการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมด โดยไม่มีข้อยกเว้น เทียบกับมาตรการเดิมในปี 2018 ที่ทรัมป์เคยเรียกเก็บภาษี 25% กับเหล็กและ 15% กับอะลูมิเนียม แต่มีการให้ข้อยกเว้นกับบางประเทศ
สหรัฐฯ เป็นผู้นำเข้าเหล็กอันดับหนึ่งของโลก โดยมี แคนาดา บราซิล และเม็กซิโกเป็นซัพพลายเออร์หลัก อุตสาหกรรมที่ใช้เหล็กและอะลูมิเนียม เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ การก่อสร้าง และผู้ผลิตเครื่องจักรกล อาจเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้น บริษัทสหรัฐฯ ที่พึ่งพาวัตถุดิบเหล่านี้ อาจต้องขึ้นราคาสินค้าเพื่อรักษาผลกำไร
การประกาศภาษีดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทเหล็กในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นทันที อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ต้องใช้เหล็กและอะลูมิเนียมในการผลิตสินค้าเริ่มแสดงความกังวลถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
สหรัฐฯ เริ่มเรียกเก็บภาษี 10% กับสินค้าจีนทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025 ยกเว้นสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์
ด้านจีนตอบโต้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025 ด้วยการเก็บภาษี 15% กับสินค้าสหรัฐฯ เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ และ 10% กับน้ำมัน เครื่องจักรการเกษตร และรถยนต์ ส่วนผลกระทบต่อสหรัฐฯ คือ อุตสาหกรรมพลังงานอาจเผชิญยอดขายที่ลดลง เนื่องจากจีนเป็นลูกค้ารายใหญ่ของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ
แคนาดาเป็นซัพพลายเออร์หลักของเหล็กและอะลูมิเนียมที่สหรัฐฯ ใช้ และยังส่งออกสินค้าเกษตร พลังงาน และสินค้าบริโภคไปยังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก
ทรัมป์ขู่ว่าจะเก็บภาษี 25% กับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากแคนาดาตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025 แต่เลื่อนออกไป 30 วันเพื่อต่อรองข้อตกลงใหม่
ทรัมป์เลื่อนการเก็บภาษี 25% กับเม็กซิโกออกไปหนึ่งเดือน และรัฐบาลเม็กซิโกตอบโต้ด้วยการส่งกองกำลัง 10,000 นายไปยังชายแดนเพื่อควบคุมการลักลอบค้ายา
GDP สหรัฐฯ อาจลดลง มีการคาดการณ์ว่าการเก็บภาษีจากจีน คาดว่าทำให้ GDP สหรัฐฯ หดตัว 0.1% ภาษีจากแคนาดาและเม็กซิโกอาจทำให้ GDP ลดลงอีก 0.3%
อุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบหนัก การผลิตรถยนต์ต้องใช้ชิ้นส่วนจากหลายประเทศ ราคาต่อคันอาจเพิ่มขึ้นถึง 3,000 ดอลลาร์ และอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก
แม้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะกล่าวว่าภาษีศุลกากรช่วยปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่บทเรียนจากอดีตแสดงให้เห็นว่า ภาษีอาจก่อให้เกิดผลเสียได้เช่นเดียวกับผลดี