ทรัมป์ 2.0 จุดชนวนมหาอำนาจ เอเชียสั่นคลอนกลางเกมการเมืองสหรัฐ-จีน

14 ม.ค. 2568 | 13:00 น.

เอเชียเตรียมรับมือการกลับมาของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ที่อาจสร้างความผันผวนครั้งใหญ่ในเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงภูมิภาค

การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สองในปี 2568 กำลังสร้างความกังวลให้กับประเทศในภูมิภาคเอเชีย ที่ต้องเผชิญกับนโยบายการค้าก้าวร้าว และการปรับสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ในระดับโลกอีกครั้ง ทรัมป์ประกาศชัดเจนในช่วงการหาเสียงว่าตนตั้งใจจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนเป็น 60% พร้อมขยายภาษีสินค้าอื่นๆ ระหว่าง 10-20% ซึ่งนอกจากจะสร้างแรงกดดันให้เศรษฐกิจจีนแล้ว ยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พึ่งพาเศรษฐกิจแบบเปิดและการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานโลก

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การยกระดับสงครามการค้ารอบใหม่อาจทำให้ประเทศที่เคยได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของจีน เช่น เวียดนามและมาเลเซีย ต้องเผชิญความเสี่ยงในการถูกตั้งภาษีเช่นกัน เนื่องจากทรัมป์แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้เกิดการ "ถ่ายโอนการค้า" โดยไม่มีผลประโยชน์ต่อสหรัฐฯ

ในมุมของความมั่นคง ทรัมป์ยังคงรักษาท่าที "อเมริกาต้องมาก่อน" และคาดว่าพันธมิตรในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ จะต้องแบ่งเบาภาระทางการทหารมากขึ้น โดยในสมัยแรก ทรัมป์เรียกร้องให้เกาหลีใต้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการตั้งฐานทัพสหรัฐฯ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลในกรุงโซล ในขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นต้องเพิ่มงบประมาณทางการทหารเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากจีน

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นในสมัยที่สองนี้ ด้วยนโยบายที่ตั้งอยู่บนการปะทะเชิงเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ทรัมป์เคยแสดงความเห็นว่าจีนเป็นภัยคุกคามหลักต่อการเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่าทรัมป์อาจใช้แนวทางการเจรจาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าการรักษาความสมดุลในภูมิภาค ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในขณะเดียวกัน จีนเองก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการตอบโต้กลยุทธ์ของทรัมป์ นักวิเคราะห์มองว่าจีนมีทางเลือกสามแนวทาง ได้แก่ การหลีกเลี่ยงการปะทะ การเพิ่มความก้าวร้าว หรือการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคผ่านการลงทุนและความร่วมมือแบบพหุภาคี โดยแนวทางสุดท้ายอาจเป็นสิ่งที่จีนให้ความสำคัญในปัจจุบัน เช่น การส่งเสริมบทบาทในโครงการ Belt and Road Initiative และการปรับความสัมพันธ์กับอินเดีย

สำหรับอาเซียน การกลับมาของทรัมป์อาจทำให้ภูมิภาคนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านการค้าระหว่างประเทศที่หนักขึ้น ข้อมูลจาก Oxford Economics ชี้ว่า การตั้งภาษีในวงกว้างอาจทำให้การส่งออกของประเทศในเอเชียลดลงถึง 8% ในขณะที่การนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จากเอเชียอาจลดลง 3% ซึ่งอาจกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของภูมิภาค

ในแง่ความมั่นคงทางทะเล นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยในสิงคโปร์มองว่า สหรัฐฯ อาจลดความสำคัญต่อปัญหาทะเลจีนใต้ลง แต่ยังคงใช้แนวทางการเฝ้าระวังและกดดันจีนในบริบทของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ใหญ่กว่า อย่างไรก็ตาม หากทรัมป์เลือกที่จะ "เจรจา" กับจีนในประเด็นไต้หวันหรือทะเลจีนใต้ อาจทำให้ประเทศพันธมิตรในภูมิภาค เช่น ฟิลิปปินส์และเวียดนาม รู้สึกสูญเสียความมั่นใจในบทบาทของสหรัฐฯ

แม้จะมีความไม่แน่นอนมากมาย แต่อาเซียนยังคงต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสหรัฐฯ และจีน โดยเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือในภูมิภาค เช่น ข้อตกลง RCEP ที่นำโดยอาเซียน และการสร้างความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด

เอเชียกำลังเข้าสู่ยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ท้าทาย โดยมี "ทรัมป์ 2.0" เป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของภูมิภาคในปี 2568 และอาจเป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในระเบียบโลก

 

อ้างอิง: Time, Eastasiaforum, Fulcrum, SPF, Asiatimes