ส่งออกจีนแรงแซงโค้ง! ยอดการค้าพุ่ง แต่ภาษีใหม่ทรัมป์ 2.0 อาจพลิกเกม

13 ม.ค. 2568 | 16:10 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ม.ค. 2568 | 16:13 น.

ยอดส่งออกและนำเข้าของจีนในเดือนธันวาคมทะลุเป้าหมายอย่างไม่คาดคิด ท่ามกลางแรงกดดันจากวิกฤติภายในและความเสี่ยงภาษีใหม่

ตัวเลขการค้าของจีนในเดือนธันวาคมสร้างความประหลาดใจให้กับนักวิเคราะห์ ด้วยยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นถึง 10.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดนำเข้ากลับมาขยายตัว 1.0% หลังหดตัวต่อเนื่องสองเดือนก่อนหน้า ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการผลักดันเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญวิกฤติจากภายใน รวมถึงปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ฟื้นตัว

แม้ตัวเลขส่งออกจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่แนวโน้มในปีนี้กลับเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความเสี่ยงของการขึ้นภาษีใหม่ในสหรัฐฯ ที่กำลังจะถูกนำมาใช้โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มภาษีอีกสำหรับสินค้าจีนทั้งหมด

ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีนระบุว่าในปีที่ผ่านมา ยอดส่งออกของจีนเติบโต 7.1% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเพียง 0.6% ในปี 2566 ส่วนยอดนำเข้าเติบโต 2.3% เมื่อเทียบกับที่หดตัว 0.3% ในปีก่อนหน้า ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการเร่งส่งสินค้าไปยังตลาดหลักอย่างอาเซียนและสหรัฐฯ โดยยอดส่งออกไปยังสองตลาดนี้เพิ่มขึ้น 18.9% และ 15.6% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าสถานการณ์นี้อาจไม่ยั่งยืน นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันการเงินแห่งชาติจีน กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของภาษีจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของจีนในตลาดโลก

ขณะเดียวกัน การฟื้นตัวของความต้องการในประเทศยังคงอ่อนแอจากปัญหาเศรษฐกิจภายใน เช่น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง และการฟื้นตัวที่ไม่เท่าเทียมในภาคอสังหาริมทรัพย์ แม้รัฐบาลจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยและเปิดตัวโครงการสนับสนุนต่างๆ

นักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics กล่าวว่า จุดแข็งสำคัญของจีนในขณะนี้คือค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า ซึ่งช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากภาษีใหม่ของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงสร้างความท้าทาย

ในปีที่ผ่านมา การส่งออกสินค้า "อิเล็กทรอนิกส์" และ "ยานยนต์ไฟฟ้า" ของจีนเพิ่มขึ้น 18.7% และ 13.1% ตามลำดับ ขณะที่การส่งออก "เหล็ก" กลับมาทะลุระดับสูงสุดในรอบเก้าปี อย่างไรก็ตาม ตลาดในประเทศยังไม่สามารถดูดซับสินค้าจากภาคการผลิตได้ดีพอ เนื่องจากวิกฤติอสังหาริมทรัพย์และกิจกรรมการผลิตที่ซบเซา

นักวิเคราะห์ชี้ว่า จีนจะต้องพยายามเร่งกระตุ้นการบริโภคในประเทศในปีนี้ โดยเน้นการขยายการใช้จ่ายทางการคลัง รวมถึงการส่งเสริมโครงการแลกเปลี่ยนสินค้าเก่าเป็นสินค้าใหม่ ซึ่งเริ่มต้นในปีที่ผ่านมา

 

อ้างอิง: cnbc