สรุปประชุมสองสภา จีนส่งสัญญาณเดินหน้าดัน AI-เศรษฐกิจ-กองทัพ

12 มี.ค. 2568 | 12:45 น.
อัปเดตล่าสุด :12 มี.ค. 2568 | 12:45 น.

การประชุมสองสภาจีนปี 2025 สิ้นสุดลงพร้อมแผนขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ ตั้งแต่ AI และ DeepSeek จนถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ งบประมาณกองทัพ และทิศทางความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ

การประชุมสองสภาของจีนประจำปี 2025 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการกำหนดทิศทางของประเทศในปีต่อไป ได้ปิดฉากลงเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา พร้อมการออกกฎหมายสำคัญ 7 ฉบับ และการประกาศนโยบายหลักที่ครอบคลุมหลายด้าน ตั้งแต่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปจนถึงเศรษฐกิจ กลาโหม และนโยบายต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดล้วนสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางของจีนที่มุ่งสู่ความเป็นผู้นำทั้งด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันก็มีท่าทีแข็งกร้าวต่อคู่แข่งสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา

หนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจากการประชุมครั้งนี้คือการผลักดัน AI ของจีน โดยเฉพาะบริษัท DeepSeek ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง โดยรัฐบาลจีนให้การสนับสนุนแนวทางของ DeepSeek ในการพัฒนา AI แบบโอเพ่นซอร์ส ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเผยแพร่ "ปัญญาจีน" สู่เวทีโลก นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง กล่าวเน้นย้ำถึง "ความสำเร็จใหม่" ของจีนในด้าน AI พร้อมให้คำมั่นว่ารัฐบาลจะส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในส่วนของหุ่นยนต์อัจฉริยะและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถแข่งขันกับโลกตะวันตกได้

ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายการเติบโตของ GDP ในปี 2025 ไว้ที่ 5% ซึ่งเท่ากับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่เพื่อลดผลกระทบจากภาวะชะลอตัวที่จีนเผชิญอยู่

นโยบายที่ถูกนำเสนอประกอบไปด้วยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบผ่านหลายช่องทาง เช่น เงินอุดหนุนผู้บริโภคจำนวน 300,000 ล้านหยวน การเพิ่มทุนให้แก่ธนาคารของรัฐอีก 500,000 ล้านหยวน รวมถึงการเพิ่มวงเงินพันธบัตรของรัฐบาลท้องถิ่นอีก 500,000 ล้านหยวน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความพยายามของรัฐบาลจีนในการกระตุ้นการใช้จ่ายและฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจในประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ปรับอัตราการขาดดุลงบประมาณเป็น 4% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของปีก่อนที่อยู่ที่ 3% สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางเชิงรุกของจีนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ในส่วนของงบประมาณด้านกลาโหม จีนได้เพิ่มงบประมาณทางทหารขึ้น 7.2% คิดเป็นมูลค่า 1.81 ล้านล้านหยวน ซึ่งมากกว่างบประมาณกองทัพของญี่ปุ่นถึง 4 เท่า การขยายงบประมาณในส่วนนี้ตอกย้ำแนวโน้มของจีนในการเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงระดับโลก อู๋ เฉียน โฆษกของ PLA กล่าวว่า การใช้จ่ายทางทหารนี้จะเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีและเสริมสร้างความพร้อมรบของกองทัพ เพื่อให้จีนสามารถปกป้องผลประโยชน์ของตนเองในระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อีกหนึ่งประเด็นที่ได้รับการเน้นย้ำคือความมั่นคงทางอาหารของจีน แม้ว่าผลผลิตธัญพืชของประเทศจะเกิน 700 ล้านตันในปี 2024 แต่รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการพึ่งพาตนเองด้านอาหาร ฮั่น จุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของจีน ระบุว่า "จีนต้องพึ่งพาตัวเองในการเลี้ยงประชากร 1.4 พันล้านคน" โดยเน้นย้ำว่าความมั่นคงทางอาหารเป็นปัจจัยสำคัญของเสถียรภาพชาติ และจีนไม่สามารถพึ่งพาการนำเข้าอาหารจากต่างประเทศได้มากเกินไป นโยบายดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงแนวทางของจีนในการลดการพึ่งพาต่างชาติ และเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตอาหารภายในประเทศ

ในแง่ของนโยบายต่างประเทศ การประชุมครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างจีนและรัสเซีย ขณะที่ท่าทีต่อสหรัฐฯ และพันธมิตรอย่างญี่ปุ่นและไต้หวันยังคงแข็งกร้าว หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้กล่าวถึงประเด็นข้อพิพาทกับสหรัฐฯ โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าสินค้าจีนเป็นแหล่งผลิตยาเฟนทานิลที่ผิดกฎหมาย พร้อมวิจารณ์สหรัฐฯ ว่าใช้ "นโยบายตีสองหน้า" ต่อจีน

นอกจากนี้ ยังแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อญี่ปุ่น โดยเฉพาะในประเด็นไต้หวัน ซึ่งจีนถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ และในปีนี้ยังเป็นปีครบรอบ 80 ปีของ "การปลดปล่อยไต้หวัน" จากการปกครองของญี่ปุ่น การแสดงจุดยืนที่หนักแน่นในเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของจีนในการรักษาอธิปไตยเหนือไต้หวัน และป้องกันไม่ให้ประเทศอื่นเข้ามาแทรกแซง

โดยสรุป การประชุมสองสภาปี 2025 ได้เผยให้เห็นทิศทางที่ชัดเจนของจีนในการก้าวสู่อนาคต ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งเน้นการพัฒนา AI ผ่านบริษัทอย่าง DeepSeek การดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ การขยายงบประมาณกองทัพเพื่อเสริมสร้างอำนาจทางทหาร รวมถึงการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรกับรัสเซีย ขณะเดียวกันก็ตอบโต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาคเอเชีย ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าจีนยังคงมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก และนโยบายที่ถูกกำหนดขึ้นจากการประชุมครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคตอย่างแน่นอน