ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินเกมเร่งผลิตแร่หายากและแร่สำคัญภายในประเทศ ด้วยแผนสร้างโรงถลุงโลหะบนฐานทัพของกระทรวงกลาโหม (Pentagon) หวังลดการพึ่งพาจีน ซึ่งครองตลาดโลกด้านการแปรรูปแร่เหล่านี้ แหล่งข่าวระดับสูงในรัฐบาลเปิดเผยกับรอยเตอร์สว่า คำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ดังกล่าวอาจมีการลงนามเร็วๆ นี้
แร่หายากและแร่สำคัญเป็นทรัพยากรที่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ เนื่องจากเป็นวัตถุดิบหลักในอุตสาหกรรมอาวุธ เช่น เครื่องบินขับไล่ เรือดำน้ำ กระสุน รวมถึงชิ้นส่วนเทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้ในระบบสื่อสารและเรดาร์ ปัจจุบัน จีนเป็นผู้ครองตลาดโลกในการแปรรูปแร่เหล่านี้ และเคยส่งสัญญาณจำกัดการส่งออกเพื่อตอบโต้ภาษีของทรัมป์ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ
แผนของทรัมป์จะให้กระทรวงกลาโหมทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐบาลกลางอื่นๆ เพื่อติดตั้งโรงงานแปรรูปแร่บนฐานทัพทหาร ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ มีพื้นที่ภายใต้การควบคุมมากกว่า 30 ล้านเอเคอร์ วิธีนี้ช่วยลดแรงต้านจากชุมชนท้องถิ่นที่มักกังวลเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และยังหลีกเลี่ยงกระบวนการจัดซื้อที่ดินที่มีความซับซ้อน
อีกหนึ่งหมากสำคัญในแผนของทรัมป์ คือการแต่งตั้ง "ซาร์แร่สำคัญ" หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ทำหน้าที่ประสานงานด้านนโยบายแร่ ซึ่งคล้ายกับแนวทางที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้กับประเด็นเชิงยุทธศาสตร์อื่นๆ ในอดีต
แทนที่จะเน้นไปที่การปรับปรุงกระบวนการอนุมัติการทำเหมืองในสหรัฐฯ ซึ่งต้องผ่านกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด ทรัมป์เลือกเดินเกมเร่งกระบวนการแปรรูปแร่ก่อน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาหลักที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาจีน โดยปัจจุบัน จีนเป็นผู้ผลิตแร่สำคัญถึง 30 จาก 50 ชนิดที่สหรัฐฯ จัดให้เป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์
การเร่งสร้างโรงแปรรูปอาจช่วยผู้ผลิตในภาคอุตสาหกรรมได้มากกว่าผู้ประกอบการเหมืองในสหรัฐฯ ที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนกระบวนการทำเหมืองในประเทศ อย่างไรก็ตาม แผนนี้ยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาและอาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนทรัมป์ลงนาม
แม้ฐานทัพจะเป็นพื้นที่ของรัฐบาลกลาง แต่กฎหมายสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ อย่าง Clean Air Act และ Clean Water Act ยังคงมีผลบังคับใช้ ทำให้การตั้งโรงถลุงอาจเผชิญข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับโครงการแปรรูปแร่ของภาคเอกชนที่ผ่านมา
ในคำสั่งนี้ ทรัมป์จะไม่ตั้งกองทุนสำรองแร่สำคัญของชาติ คล้ายกับ Strategic Petroleum Reserve ที่ใช้กักตุนน้ำมัน นอกจากนี้ ยังไม่มีข้อกำหนดให้ผู้รับเหมาของกระทรวงกลาโหมต้องใช้แร่จากแหล่งในประเทศ (Buy American) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการเหมืองในสหรัฐฯ ต้องการ เพื่อให้แข่งขันกับราคาของจีนได้
แม้จะไม่เปลี่ยนกฎหมายหลักที่ควบคุมการอนุญาตทำเหมือง แต่คำสั่งนี้จะขยายโครงการอนุมัติแบบเร่งด่วน FAST-41 ซึ่งเริ่มต้นในสมัยทรัมป์ เช่นเดียวกับโครงการเหมือง Hermosa ของ South32 ที่ได้รับการเร่งรัดโดยประธานาธิบดีไบเดน นอกจากนี้ ยังเตรียมปรับนิยามของ "กองขยะเหมือง" บนที่ดินรัฐบาลกลาง เพื่อเปิดทางให้บริษัทสามารถสกัดแร่ที่มีค่าออกจากกองหินเหลือใช้ในอดีต ซึ่งจะช่วยผลิตแร่สำคัญได้เร็วขึ้นและต้นทุนต่ำลง
ยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์จะประกาศให้ทองแดงเป็นแร่ยุทธศาสตร์หรือไม่ แต่หากทำ จะช่วยให้เหมืองในสหรัฐฯ ได้รับเครดิตภาษีการผลิต 10% โดยเฉพาะ Freeport-McMoRan ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองทองแดงรายใหญ่ของสหรัฐฯ คาดว่าหากทรัมป์เดินหน้านโยบายนี้ บริษัทอาจประหยัดต้นทุนได้ถึง 500 ล้านดอลลาร์ต่อปี