สงครามเหล็กเดือด ภาษีทรัมป์เขย่าตลาด ส่งออกเวียดนามทะลักไทย

13 มี.ค. 2568 | 17:30 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มี.ค. 2568 | 18:11 น.

สงครามเหล็กเดือด! นโยบายภาษีของทรัมป์เขย่าตลาดโลก เวียดนามรุกตลาดไทย ขณะที่จีนเผชิญแรงกดดันหนักจากมาตรการป้องกันการทุ่มตลาดทั่วโลก

บรรยากาศการแข่งขันในอุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลกกำลังร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังจากหลายประเทศเริ่มออกมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมภายในของตนเอง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่นำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกลับมาใช้มาตรการภาษีนำเข้าอย่างเข้มข้นเพื่อพยุงภาคการผลิตในประเทศ

การเคลื่อนไหวของทรัมป์พุ่งเป้าไปที่จีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยทรัมป์ระบุว่าเหล็กจากจีนกำลังทะลักเข้ามาในตลาดโลกผ่านประเทศตัวกลาง ก่อนจะส่งต่อไปยังสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บราซิล เม็กซิโก และอาร์เจนตินา ถูกมองว่าเป็นช่องทางหลักในการนำเข้าและกระจายเหล็กจีนเข้าสู่ตลาดสหรัฐ ทรัมป์ตำหนิประเทศเหล่านี้ที่ไม่สามารถควบคุมการขยายตัวของอุตสาหกรรมเหล็กจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัญหาหลักของตลาดเหล็กโลกมาจากปริมาณการผลิตมหาศาลของจีน ซึ่งยังคงสูงกว่า 1 พันล้านตันต่อปี แม้ว่าความต้องการในประเทศจะลดลงจากผลกระทบของวิกฤติอสังหาริมทรัพย์และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจหลังโควิด-19 การส่งออกเหล็กของจีนที่ล้นตลาดทำให้ราคาตกต่ำ ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตเหล็กในประเทศอื่นๆ ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับจีนได้

หลายประเทศทั่วโลกจึงเริ่มออกมาตรการป้องกันตัวเอง เวียดนามและเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้ซื้อและผู้ส่งออกเหล็กรายสำคัญของจีน ได้เพิ่มภาษีนำเข้าและกำหนดโควตานำเข้าเพื่อป้องกันสินค้าราคาถูกจากจีน ไต้หวันเปิดการสอบสวนการทุ่มตลาด อินเดียเสนอให้ตั้งกำแพงภาษีนำเข้า ขณะที่สหภาพยุโรปกำลังพิจารณาปรับข้อกำหนดเพื่อจำกัดปริมาณนำเข้าและเพิ่มภาษีหากมีการนำเข้าเกินโควตา

มาตรการกีดกันทางการค้ากำลังสร้างแรงกดดันให้กับตลาดเหล็กโลกมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบประเภทนี้ ตั้งแต่การผลิตรถยนต์ไปจนถึงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนพุ่งสูงขึ้นและนำไปสู่การโยกย้ายฐานการผลิตในระยะยาว

หนึ่งในผลกระทบสำคัญที่เกิดขึ้นคือ การที่เวียดนามซึ่งเผชิญข้อจำกัดในการส่งออกเหล็กไปยังตลาดอื่น เริ่มหันมารุกตลาดไทยมากขึ้น สะท้อนจากปริมาณเหล็กเวียดนามที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ผลิตในประเทศต้องเผชิญการแข่งขันที่หนักหน่วงกว่าเดิม แม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศแล้วก็ตาม

ขณะที่จีนเองก็กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากมาตรการป้องกันการทุ่มตลาดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ข้อมูลจากตลาดโลหะเซี่ยงไฮ้ระบุว่ามีเหล็กกล้าจีนมากกว่า 30 ล้านตันที่เผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งคิดเป็นกว่า 1 ใน 4 ของการส่งออกเหล็กทั้งหมดของจีนเมื่อปีที่ผ่านมา หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป นักวิเคราะห์มองว่าอุตสาหกรรมเหล็กจีนอาจได้รับผลกระทบหนักกว่าที่เคยเป็นมา

นักวิเคราะห์จาก Kallanish Commodities ชี้ว่า ในอดีต จีนสามารถปรับตัวได้โดยเปลี่ยนประเภทการผลิตหรือหาตลาดใหม่ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ข้อจำกัดจากหลายประเทศอาจทำให้จีนเผชิญความท้าทายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สถาบันวิจัยอุตสาหกรรมโลหะของจีนเตือนว่า สถานการณ์อาจเลวร้ายลงอีก เนื่องจากขณะนี้มีการเปิดคดีต่อต้านการทุ่มตลาดเหล็กจีนมากกว่า 30 คดีแล้วในปี 2567 ขณะที่บริษัทที่ปรึกษา CRU Group คาดการณ์ว่าการส่งออกเหล็กของจีนในปีนี้อาจลดลงถึง 17%

ความตึงเครียดในตลาดเหล็กโลกกำลังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ไม่เพียงแต่ต่อจีน แต่ยังรวมถึงประเทศผู้ผลิตรายอื่น และอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบหลัก การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นและมาตรการกีดกันทางการค้า อาจทำให้ตลาดเหล็กโลกเข้าสู่ภาวะที่ซับซ้อนและยากจะคาดการณ์มากยิ่งขึ้นในอนาคต