ทรัมป์ลดภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม 25% หลังแคนาดาถอยเก็บภาษีไฟฟ้า

13 มี.ค. 2568 | 06:30 น.

โดนัลด์ ทรัมป์ กลับลำลดภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียมจากแคนาดาเหลือ 25% หลังแคนาดายอมถอยแผนเก็บภาษีไฟฟ้า 25% ตลาดหุ้นผันผวน

ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และแคนาดาทวีความร้อนแรงขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้าจากแคนาดาถึง 50% ก่อนจะ "กลับลำ" ลดลงเหลือ 25% อย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่แคนาดาระงับแผนเก็บค่าธรรมเนียมไฟฟ้า 25% ที่ส่งไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมาตรการตอบโต้ที่ถูกเตรียมไว้ก่อนหน้านี้

เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียรายงานว่า นโยบายภาษีของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการค้าระหว่างประเทศอย่างรุนแรง และยังส่งผลสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของตลาดการเงินอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงบทบาทของแคนาดาในฐานะหนึ่งในคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ

ก่อนหน้าที่ทรัมป์จะประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดา ดั๊ก ฟอร์ด ผู้ว่าการรัฐออนแทรีโอของแคนาดา ได้ออกแถลงการณ์ว่ารัฐออนแทรีโอซึ่งเป็นผู้ส่งออกไฟฟ้ารายใหญ่ให้กับสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 25% สำหรับไฟฟ้าที่ส่งไปยังบ้านเรือนในสหรัฐฯ กว่า 1 ล้านหลัง การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นมาตรการกดดันให้ทรัมป์ยกเลิกนโยบายภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่เพียงแต่ไม่ยอมถอย แต่ยังประกาศเพิ่มอัตราภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาเป็น 50% ซึ่งทำให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง ส่งผลให้ฝ่ายแคนาดาต้องทบทวนมาตรการตอบโต้ของตนใหม่

หลังจากการเผชิญหน้าอย่างตึงเครียด ดั๊ก ฟอร์ดตัดสินใจระงับแผนเรียกเก็บค่าธรรมเนียมไฟฟ้า และเปิดทางให้มีการเจรจากับ ฮาวเวิร์ด ลัตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกให้กับข้อพิพาท

ผลของการเจรจาคือ ทำเนียบขาวตัดสินใจลดภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาลงเหลือ 25% ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับประเทศคู่ค้าอื่นๆ แทนที่จะเพิ่มเป็น 50% ตามที่เคยประกาศไปก่อนหน้านี้ โดยมาตรการภาษีใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในวันพุธนี้

โฆษกทำเนียบขาว คุช เดไซ แถลงว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ใช้อำนาจต่อรองของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อสร้างชัยชนะให้กับชาวอเมริกันอีกครั้ง”

การตัดสินใจขึ้นและลดภาษีอย่างกะทันหันของทรัมป์ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนหนัก โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดที่ 5,528.41 จุด ซึ่งถือเป็นการลดลงถึง 10% จากระดับปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6,144.15 จุดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ซึ่งโดยทั่วไปถือเป็นภาวะ "ตลาดปรับฐาน" (Market Correction)

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม โดยมูลค่าตลาดของหุ้นสหรัฐฯ หายไปเกือบ 5 ล้านล้านดอลลาร์จากดัชนีสำคัญต่างๆ นักลงทุนยังคงจับตามองว่าการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างไร

นอกจากภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมแล้ว ทรัมป์ยังแสดงความไม่พอใจต่อแคนาดาเกี่ยวกับมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมและสินค้าเกษตร พร้อมขู่ที่จะ “ขึ้นภาษีอย่างมหาศาล” สำหรับรถยนต์นำเข้าจากแคนาดาที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน หากแคนาดาไม่ยกเลิกนโยบายการค้า "ที่ไม่เป็นธรรมและมีมานานแล้ว"

ทรัมป์กล่าวว่า “ยิ่งภาษีสูงขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่พวกเขาจะสร้างโรงงานผลิตในสหรัฐฯ … ชัยชนะที่แท้จริงไม่ใช่การเก็บภาษี แต่เป็นการดึงดูดให้พวกเขาย้ายฐานการผลิตมาสู่ประเทศของเรา และสร้างงานให้กับชาวอเมริกัน”

นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่า นโยบายภาษีของทรัมป์เป็นทั้งเครื่องมือกดดันทางการค้าและกลยุทธ์เชิงการเมืองที่มุ่งสร้างภาพลักษณ์ว่าเขาเป็นผู้นำที่ปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การกลับลำลดภาษีอย่างรวดเร็วอาจสะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดของนโยบายที่เน้นการใช้ภาษีเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ

แม้ว่าการลดภาษีจาก 50% เหลือ 25% อาจช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางการค้าชั่วคราว แต่คำถามสำคัญที่ยังคงอยู่คือ นโยบายเหล่านี้จะสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หรือจะยิ่งทำให้เกิดความผันผวนและความไม่แน่นอนในตลาดโลกมากขึ้นกันแน่