*** เพียงไม่ถึง 2 เดือนที่ โดนัล ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เต็มตัว ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทย รับผลกระทบจากจากนโยบายที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอด จนโลกปรับตัวตามไม่ทัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ ทรัมป์ ใช้ภาษีนำเข้าสินค้า (Tariff) มาเป็นเครื่องมือในการทำสงครามการค้า (Trade War) เพื่อกดดัน “คู่ค้า” โดยไม่สนใจว่าจะเป็นมิตรอย่าง ยุโรป และแคนาดา รวมไปถึงคู่แข่งอย่างจีน เพื่อให้เดินตามสิ่งที่ทรัมป์ต้องการ กลายเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์ทั่วโลกมองว่า เป็น “ดาบสองคม” ที่กำลังกลับมาทำร้ายอเมริกา จนอาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน....
ว่าแต่สงครามการค้าที่กำลังรุนแรง จะส่งผลต่อหุ้นไทยทั้งทางบวกและลบในกลุ่มใดกันบ้าง!!!
ในกรณีของหุ้นที่ได้อานิสงส์ในทางบวก...กลุ่มแรกก็คงจะหนีไม่พ้นไปจากหุ้นกลุ่มนิคม อย่าง AMATA ROJNA และ WHA ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานผลิตจากจีน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากำแพงภาษีสินค้าสหรัฐ-จีน เข้าลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น
กลุ่มที่สองคือ หุ้นกลุ่มเดินเรืออย่าง RCL PSL TTA ซึ่งจะได้อานิสงส์จากค่า BDI ซึ่งกำลังปรับตัวสูงขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งได้ประโยชน์จากการกีดกันสินค้าแล้วเทคโนโลยีของจีน เช่น INSET AIT ICN รวมไปถึงหุ้นในกลุ่มพลังงาน Fossil เช่น PTT PTTEP BANPU
นอกจากนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ของประเทศจีน ก็จะส่งผลให้หุ้นไทยได้รับผลในทางบวก เพราะหากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว จะทำให้การบริโภคสินค้าจากประไทยมีเพิ่มมากขึ้น
เนื่องจากไทยมีมูลค่าส่งออกไปจีนเป็นลำดับ 2 (เป็นรองแค่สหรัฐฯ) คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 15.5% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด และมีโอกาสส่งเสริมให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยเพิ่มมากขึ้น ในอนาคต
โดยหุ้นกลุ่มที่คาดจะได้ประโยชน์ในกรณีนี้ ประกอบไปด้วย กลุ่มท่องเที่ยว AOT ERW CENTEL MINT กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ KCE DELTA กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย AP LH SC
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCC SCGP กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี PTT TOP PTTGC IVL กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม CBG CRC BJC CPALL และ กลุ่มยางพารา NER STA
แต่จะว่าก็ว่าเถอะ...เอาจริงๆ นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ามา เจ๊เมาธ์ยังไม่เห็นว่า จะมีหุ้นใหญ่ของไทยตัวไหนดีขึ้นเลย!!!
ขณะที่เมื่อมีกลุ่มหุ้นที่ได้อานิสงส์ในทางที่เป็นบวก ก็ต้องมีหุ้นที่ได้ผลกระทบในทางตรงกันข้าม โดยกลุ่มนี้ คือ หุ้นในกลุ่มการเงินทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นธนาคารอย่าง KBANK SCB BBL KTB หุ้นลีสซิ่งหุ้นบัตรเครดิต เช่น MTC SAWAD TIDLOR HENG AEONTS KTB หุ้นกลุ่มประกันอย่าง TLI BLA AYUD MTI เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะยังมีทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม...จะไปโทษเฉพาะปัจจัยภายนอกว่า ทำให้หุ้นตัวนั้นดีตัวนี้แย่ไปก็คงไม่ถูก เนื่องจากพบว่า ทั้งปัจจัยและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตลาดหุ้นไทย ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาปรับลงมาโดยตลอด ขณะที่รายได้และกำไรของบริษัท ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยเอง ก็ใช่ว่าจะดีอย่างที่ควร
ล่าสุด ตลท. รายงานผลงานปี 67 พบว่าบริษัทใน SET มียอดขาย 17,524,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% มีกำไรสุทธิ 859,401 ล้านบาท ลดลง 3.7% ขณะบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มียอดขายรวม 209,453 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% ขณะที่ บจ. ควบคุมต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดีส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 5,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5%
ดังนั้น ในมุมมองของเจ๊เมาธ์ การที่จะไปกล่าวหาว่าใครทำอะไร หรือ สร้างผลกระทบอะไร ก็ควรมองกลับมาที่ตัวเองก่อน (Outside-in) เพราะหากทำอะไรไม่เป็นหรือทำได้ยังไม่ดีก็อย่าได้ไปโทษว่าคนอื่น