ศึกการค้าระอุ! จีนโต้กลับสหรัฐฯ ขึ้นภาษีเกษตร จับตาทิศทางเศรษฐกิจ "สองสภา"

05 มี.ค. 2568 | 06:00 น.

ติดตามทิศทางเศรษฐกิจจีนปี 2568 ศึกการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ปะทุอีกครั้ง! จีนประกาศขึ้นภาษี 15% กับสินค้าสหรัฐฯ ตั้งแต่ 10 มี.ค. พร้อมส่งสัญญาณเตรียมรับมือเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง

สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ เดือดระอุอีกครั้ง จีนประกาศขึ้นภาษีสูงสุด 15% กับสินค้าสหรัฐฯ หลายรายการ รวมถึงสินค้าทางการเกษตรอย่างข้าวโพดและถั่วเหลือง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคมนี้ มาตรการตอบโต้นี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศภาษีนำเข้าใหม่ 10% กับสินค้าจีน ซึ่งส่งผลให้ยอดภาษีนำเข้ารวมจากจีนพุ่งขึ้นถึง 33% จากเดิมเพียง 13% เมื่อเริ่มศึกการค้าครั้งใหม่

แม้ว่าการตอบโต้กันเช่นนี้จะกลายเป็นเรื่องปกติในการเผชิญหน้าระหว่างสองมหาอำนาจ แต่จีนยืนยันว่าจะไม่ยอมให้มีการข่มขู่หรือกดดันจากสหรัฐฯ หลู่ ฉินเจียน (Lou Qinjian) โฆษกของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) กล่าวอย่างแข็งกร้าวว่า "จีนจะไม่ยอมรับการบีบบังคับจากสหรัฐฯ"

ท่ามกลางสงครามการค้า เศรษฐกิจจีนยังต้องเผชิญกับความท้าทายภายในประเทศ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนระบุว่า GDP ปี 2024 ของจีนเติบโตที่ 5% แตะระดับ 134.91 ล้านล้านหยวน ซึ่งถือว่าสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดไว้ที่ 4.8% การเติบโตครั้งนี้ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และอุตสาหกรรมการส่งออกที่แข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่จีนต้องเร่งแก้ไขคือ การบริโภคภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยปัจจุบันอัตราการบริโภคของประชาชนจีนคิดเป็นเพียง 39% ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ที่อยู่ที่ 70% สะท้อนว่าผู้บริโภคชาวจีนยังไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ และยังเลือกออมเงินมากกว่าการใช้จ่าย

สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากจีนเป็น คู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย ขณะที่สหรัฐฯ เป็นปลายทางการส่งออกสำคัญ

หากภาษีศุลกากรยังถูกผลักดันสูงขึ้น ไทยอาจได้รับผลกระทบใน 3 ด้านหลัก ได้แก่

  • อุปสงค์จากจีนลดลง หากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว อาจกระทบการส่งออกของไทยไปจีน เช่น ยางพารา และสินค้าเกษตร
  • ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น ไทยนำเข้าสินค้าหลายประเภทจากจีน โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หากต้นทุนสูงขึ้น อาจกระทบอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบจากจีน
  • ความผันผวนของค่าเงิน หากนักลงทุนกังวลต่อความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจจีน อาจทำให้เงินหยวนอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลต่อค่าเงินบาทและการค้าไทย

 

"สองสภา" ของจีน กับมาตรการรับมือเศรษฐกิจปี 2568

ในช่วงเวลาที่การค้าระหว่างประเทศเต็มไปด้วยแรงกดดัน จีนก็เตรียมกำหนด แนวทางเศรษฐกิจใหม่ ผ่านเวทีสำคัญที่เรียกว่า "สองสภา" (Two Sessions) ซึ่งเป็นการประชุมร่วมระหว่างสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) และสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติ (CPPCC)

5 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาใน Two Sessions ปีนี้

  • เป้าหมาย GDP ปี 2568 คาดการณ์ว่าเป้าหมายปีนี้จะยังคงอยู่ที่ 5%
  • การกระตุ้นการบริโภค  จีนต้องการเพิ่มสัดส่วนการบริโภคภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออก
  • นโยบาย AI และเทคโนโลยี จีนให้ความสำคัญกับภาคเทคโนโลยีมากขึ้น โดยเฉพาะ AI ที่กำลังท้าทายสหรัฐฯ
  • นโยบายสิ่งแวดล้อม มีการคาดการณ์ว่าจีนจะเพิ่มการลงทุนด้านพลังงานสะอาดและการลดการใช้ถ่านหิน
  • ท่าทีต่อสงครามการค้า จีนจะมีมาตรการตอบโต้การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ หรือหาทางออกที่เป็นประโยชน์มากขึ้น

"DeepSeek" เทคโนโลยีจีนที่สั่นสะเทือนวงการ AI โลก

หากพูดถึงการพัฒนาเศรษฐกิจ จีนไม่ได้มองแค่การตอบโต้ศึกภาษี แต่ยังผลักดันภาคเทคโนโลยีให้เป็นหัวหอกสำคัญ หนึ่งในเรื่องที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ DeepSeek บริษัท AI สัญชาติจีนที่สามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ได้

DeepSeek สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก เมื่อนำเสนอโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง ในราคาต้นทุนต่ำกว่าของสหรัฐฯ หลายเท่า จนทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ร่วงลงเป็นประวัติการณ์

นี่อาจเป็นตัวอย่างที่สะท้อนว่า จีนไม่ได้มุ่งเน้นแค่การรับมือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ยังเร่งสร้าง "พลังเศรษฐกิจคุณภาพใหม่" (New Quality Productive Forces) ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี

ในปี 2568 เศรษฐกิจจีนเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ปัญหาการบริโภคภายใน หรือความผันผวนของเศรษฐกิจโลก แต่สิ่งที่แน่นอนคือ จีนกำลังเร่งปรับตัว สร้างโอกาส และพยายามกำหนดทิศทางของตัวเอง

 

อ้างอิง: The Guardiancsisglobaltimes, Xinhua, cnbc