นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มองว่าการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน แม้ว่าส่วนสำคัญจะเป็นผลมาจากความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าและเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศไทย
ส่งผลให้เกิดแรงขายจากฝั่งทุนต่างชาติออกมาอย่างต่อเนื่อง และปฎิเสธไม่ได้เลยว่าด้วยความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยที่ลดน้อยถอยลงทำให้นักลงทุนในประเทศเริ่มปรับลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นไทยลงตามไปด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการออกมาตรการต่างๆ เข้ามากำกับและดูแลบริษัทจดทะเบียนมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม
โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาปรับตัวลดลงอย่างมาก จนส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยไปด้วย หากถามว่าประเด็นการปรับตัวลดลงของหุ้นบิ๊กแคปเป็นการทุบราคาลงหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของตลาดหุ้น โดยเฉพาะในช่วงปกติที่ตลาดเป็นบวกต่อเนื่องยาวนาน
แต่เมื่อนักลงทุนรู้สึกว่าตลาดหุ้นในขณะนั้นไม่ได้ดีมากนัก เริ่มเข้าสูงช่วงขาลงเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนอย่างชัดเจน ทำให้การทำกำไรในจังหวะที่ตลาดไร้แรงหนุนไม่ได้เอื้อกับนักลงทุนมากนัก ซึ่งคนที่มีหุ้นอยู่ในมือก็อาจอยากขาดตัดขาดทุน
หรือนักลงทุนบางส่วนเห็นจังหวะในช่วงที่ราคาหุ้นไต่ระดับลงก็การกดราคาหุ้นให้ลดต่ำลงเพื่อเข้าซื้อในช่วงราคาที่ถูก แต่กรณีนี้ก็จะเกิดขึ้นกับหุ้นที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดี มีอนาคต มีสตอรี่หนุนการเติบโต แต่ราคาหุ้นถูกเทรดอยู่ในระดับ P/E ที่สูงเกินไป
"ถามว่าตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ยังสามารถลงทุนได้หรือไม่ ก็มองว่าหุ้นไทนยังลงทุนได้เพราะ Valuation ลดลงมาอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าค่อนข้างถูกแล้วในปัจจุบัน แต่การลงทุนก็อาจต้องเลือกหุ้นที่มีอนาคต มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี มีสตอรี่หนุนผลงานให้ดี โดยเฉพาะกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศที่อาจมีความผันผวนน้อกกว่ากลุ่มอื่นๆ"
ส่วนการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอย่าง CPALL ในช่วงที่่ผานมา มองว่าหลักๆ เป็นผลจากนักลงทุนเกิดความผิดหวังซ้ำซ้อนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของผลการดำเนินงานที่อาจยังไม่ได้เติบโตอย่างที่ตลาดคาดหวัง รวมถึงข่าวการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งลงทุนใน 7&I ในประเทศญี่ปุ่น ที่อาจทำให้รับภาระจ่ายดอกเบี้ยที่สูงเกินจำเป็นฉุดกำไร และโอกาสในการจ่ายปันผลที่ลดลงในอนาคต ทำให้นักลงทุนทยอยขายเพื่อลดความเสี่ยงของการลงทุนลง
ขณะที่กรณี WHA นั้น การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นอย่างหนักในช่วงที่่ผานมา ต้องบอกว่าไม่แปลกใจเลย เพราะหุ้นของธุรกิจในเครือมีความแตกต่างกันออกไป เช่น WHAUP ทำธุรกิจสาธารณูปโภค แต่การที่ WHA ประกาศแผน Spin-off WHAID บริษัท Flagship ในธุรกิจกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งตรงกับธุรกิจของบริษัทแม่ ทำให้นักลงทุนลดความสำคัญในการถือหุ้น WHA ลง
เพราะหากว่าอยากลงทุนในหุ้นนิคมอุตสาหกรรม ก็รอ WHAID ดีกว่า ดังนั้นจึงทำให้ความน่าสนใจลดน้อยลง ยกเว้นในธุรกิจอยื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จมากกว่า แต่หลักๆ มองว่าการเข้าระดมทุนของ WHAID จะทำให้ WHA มีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น
โดยภาระหนี้หุ้นกู้ที่จะต้องจ่ายคืนในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้ารวมกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท ยังไม่นับรวมถึงงบลงทุนในปี 2568 อีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท คำถามคืนจะหาแหล่งเงินทุนมาได้ยังไง หากจะกู้กับสถาบันการเงิน หรือการขาย Asset เข้ากอง WHAIR หรือ WHART ในเวลานี้ที่ความเชื่อมั่นในตราสารหนี้แทบไม่มี ทำให้ความยากในการระดมทุนก็มากขึ้น
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันผันผวนตามปัจจัยรายวัน เอาแน่เอานอนแทบไม่ได้ ซึ่งเป็นไปตามปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุมได้ และปัจจัยในประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังไม่ชัดเจน
แต่สิ่งที่สำคัญต่อตลาดหุ้นไทยในเวลานี้มากที่สุด คือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่หดหายไปมาก ทั้งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจต้องกลับมาดูว่าจะทำอย่างไรที่จะเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมาได้อีกครั้ง สิ่งใดที่ขาดหาย สิ่งใดที่ต้องเติมแต่ง ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งจัดการ
"ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งสำคัญที่ทั้งภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจต้องเร่งดำเนินการฟื้นคืนมา เพราะในสถานะการณ์ตลาดหุ้นขาลงแบบนี้นักลงทุนนอกจากจะเจ็บตัวกันไปมากมายแล้ว คนที่ถือหุ้นอยู่ก็อยากขายออกเพื่อตัดขาดทุน นั้นจะยิ่งกดดันตลาดหุ้นไทยยิ่งขึ้นไปอีก มองว่าหุ้นหลายตัวมีแนวโน้มดี มีสตอรี่และอนาคตที่ดี ยังน่าลงทุนแต่บรรยากาศไม่เอื้อเลย"
ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ก็ยังมีความน่าสนใจลงทุนอยู่ เพียงแต่นักลงทุนอาจต้องเลือกหน้าหุ้นดีๆ ที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดี มีอัตราการเติบโตที่มีเสถียรภาพ มีอนาคต และมีสตอรี่เป็นของตัวเองเป็นปัจจัยหนุน โดยเฉพาะกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ เพราะมองว่าจะมีปัจจัยกดดันน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นที่อิงเศรษฐกิจต่างประเทศ
คำถามที่ว่าหุ้นไทยที่ว่าแย่กำลังถูกขบวนการทุบเข้ามาซ้ำเติมหรือไม่นั้น ส่วนตัวไม่อยากเรียกว่าเป็นการทุบหุ้นเลย เพราะการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นนั้นก็มีหลายปัจจัยเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น CPALL ที่มีเรื่องของดีลการลงทุนขนาดใหญ่ที่ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลใจจนเกิดการกระหน่ำเทขายอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้เอื้อต่อการลงทุนมากนัก หุ้นบางตัวที่ P/E สูงมากๆ ก็ถูกปรับ Valuation ลง ยิ่งเมื่อความเชื่อมั่นไม่มี การถูก Take Profit ก็ต้องมีมากกว่า ดังนั้นแนวโน้มของหุ้นรายตัวก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
"หุ้นที่โดนทุบก็อาจเป็นเพราะผลการดำเนินงานไม่ดีเท่าที่ตลาดคาด ทำให้นักวิเคราะห์ทยอยปรับลดประมาณการ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นปรับลงได้เช่นเดียวกัน อย่าง CPALL คนก็กังวลเรื่องการลงทุน WHA ก็กลัวเรื่องการ Spin-off ของ WHAID ซึ่งจะเห็นได้ว่านี่เป้นปัจจัยเฉพาะตัวรายหุ้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมด"