10 บิ๊กคอร์ปหุ้นไทย 2 เดือน มาร์เก็ตแคปวูบ 1.36 ล้านล้านบาท

05 มี.ค. 2568 | 10:56 น.
อัปเดตล่าสุด :05 มี.ค. 2568 | 11:00 น.

หุ้นไทยขาดความเชื่อมั่น ปัจจัยรุมเร้าทั้งภายนอกและในประเทศ กดดัชนีไหลรูด 211.8 จุดจากต้นปี มาร์เก็ตแคปหายวับ 2.62 ล้านล้านบาท พบหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรก ความมั่งคั่งวูบ 1.36 ล้านล้าน นำโดย DELTA สูญ 9.39 แสนล้านบาท

ตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญกับปัจจัยลบรอบด้าน ส่งผลให้ดัชนีตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ไหลรูดลงอย่าง แม้ช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 จะสามารถยืนเหนือระดับ 1,200 จุดได้ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แต่พอย่างเข้าเดือนที่ 3 ของปี แค่เทรดวันแรก ดัชนีหุ้นไทยก็หลุดระดับ 1,200 จุดเป็นที่เรียบร้อย

2 เดือนดัชนีหุ้นไทยหาย211จุด

ดังนั้นนับจากต้นปี 2568 ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลดแล้ว 211.8 จุ ดหรือ 15.13%ส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลา ด (มาร์เก็ตแคป )ลดลงถึง 2.62 ล้านล้านบาทจากระดับ 17.43 ล้านล้านบาทในสิ้นปี 2567 เหลือเพียง 14.81 ล้านล้านบาทในวันที่ 3 มีนาคม 2568

ปัจจัยที่กระทบตลาดหุ้น มีทั้งปัจจัยภายนอกอย่างปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การก่อสงครามการค้ากับหลายๆประเทศ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์กลับมานั่งประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกสมัย และยังถูกกดันจากปัจจัยในประเทศไม่ว่าจะเป็นเสถียรภาพการเมือง ตลาดหุ้นไทยขาดเสน่ห์ เพราะไม่มีโปรดักส์ใหม่ๆเพิมเติมเข้ามา การซื้อขายผ่านโปรแกรมหรือที่เรียกว่า Robot Trading และปัญหาธรรมาภิบาลของบริษัทขนาดใหญ่

ที่สำคัญภาครัฐไม่มีกลไกใดๆในการจัดการ ทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกระทรวงการคลัง มาตรการต่างๆที่ออกมายังเป็นการดำเนินการผ่านกลไกเดิมๆ ไม่มีมาตรการใหม่ๆ ที่จะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้

แหล่งข่าวโบรกเกอร์กล่าวว่า ดัชนีที่ไหลรูดจนหลุดระดับ 1,200 จุดเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา สะท้อนการขาดคความเชื่อมั่นของนักลงทุน เพราะปัจจัยการจัดเก็บภาษีการค้ากับประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐของนายโดนัลด์ ทรัมป์นั้นตลาดรับรู้แล้วและสะท้อนในราคาหุ้นที่ปรับลดลง แต่ปัจจัยที่เข้ามาซ้ำเติมตลาดจนดัชนีหุ้นไม่สามารถยืนได้คือ ปัจจัยในประเทศที่อาจมีน้ำหนักถึง 75%

10 บิ๊กคอร์ปหุ้นไทย 2 เดือน มาร์เก็ตแคปวูบ 1.36 ล้านล้านบาท

10 บจ.มาร์เก็ตแคปวูบ 1.36 ล้านล้านบาท

การที่ดัชนีหุ้นไทยลดลง 211.8 จุดในช่วง 2 เดือนของปี 2568 ส่งผลให้ความมั่งคั่งของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลงด้วย โดยหากเทียบจากมาร์เก็ตแคป สูงสุด 10 อันดับแรกของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จากหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีทั้งหมดกว่า 800 หลักทรัพย์ในปัจจุบัน

พบว่า มาร์เก็ตแคปหายไปถึง 1.36 ล้านล้านบาท หรือลดลง 18.57% จาก 7.35 ล้านล้านบาทเหลือเพียง 5.99 ล้านล้านบาท มีเพียง 2 หลักทรัพย์ เท่านั้นที่มาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น อีก 8 หลักทรัพย์ต่างลดลงทั้งสิ้น

นำโดย DELTA หรือ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปสูงสุด ณ สิ้นปี 2567 ที่ 1,902,256.96 ล้านบาท ลดลง 938,654.66 ล้านบาท หรือ 49.34% ตามด้วย AOT หรือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มาร์เก็ตแคปลดลง 232,142.62 ล้านบาทลดลง 27.31% จาก 849,999.15 ล้านบาท เหลือ 617,856.53 ล้านบาท

ขณะที่ GULF หรือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มาร์เก็ตแคปลดลง 123,198.07 ล้านบาทหรือลดลง 17.65% จาก 698,122.42 ล้านบาทเหลือ 574,924.35 ล้านบาท และ PTTEP หรือ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) มาร์เก็ตแคปลดลง 39,699.85 ล้านบาทหรือลดลง 8.40% จาก 472,428.26 ล้านบาทเหลือ 432,728.41 ล้านบาท

ส่วนบริษัทที่มาร์เก็ตแคปลดลงเล็กน้อยคือ ADVANC หรือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ลดลง 3.83% จาก 853,598.19 ล้านบาทเหลือ 820,881.89 ล้านบาท ลดลง 32,716.3 ล้านบาท ตามด้วย CPALL หรือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)ลดลง 3.14% จาก 500,807.90 ล้านบาทเหลือ 485,087.47 ล้านบาท ลดลง 15,720.43 ล้านบาท

ส่วน BDMS หรือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) ลดลง 1.22% จาก 389,354.05 ล้านบาทเหลือ 384,586.45 ล้านบาท ลดลง 4,767.6 ล้านบาท และ PTT หรือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ลดลง 0.79% จาก 906,875.13 ล้านบาทเหลือ 899,734.38 ล้านบาท ลดลง  7,141.13 ล้านบาท

ขณะที่ 2 หลักทรัพย์ที่มาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นคือ SCB หรือ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน)มาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น 15,151.98 ล้านบาทหรือ 3.83% จาก 395,635.11 ล้านบาทเพิ่มเป็น 410,787.09 ล้านบาท และ TRUE หรือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น 3.60% หรือ 13,820.84 ล้านบาทจาก 383,528.32 ล้านบาทเพิ่มเป็น 397,349.16 ล้านบาท

ปี68 หุ้นไทยหมดโอกาสฟื้น

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวถึงกรณีที่ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในช่วงนี้ว่า เรามองว่า คนที่ฉลาดจะมองพื้นฐานทางเศรษฐกิจและมองเป็นโอกาส ส่วนคนที่ไม่ฉลาด ก็จะตื่นเต้นและไม่เห็นโอกาสในสิ่งนี้

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

นายเผ่าภูมิยังกล่าวถึงกรณีที่ผลสำรวจความเห็นประชาชนออกมาว่าไม่พอใจการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ว่า รัฐบาลบริหารประเทศ โดยยึดมองจากตัวเลขและข้อมูลเชิงประจักษ์ ซึ่งจะเห็นว่า ที่ผ่านมาตัวเลขมีทิศทางที่ผงกหัวขึ้น

ทั้งการบริโภคและการลงทุน ยกเว้น อุตสาหกรรมรถยนต์ที่ยังชะลอ ซึ่งรัฐบาลก็มีแนวทางที่จะเข้าไปดูแล และเบื้องต้นตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกก็ออกมาดี

นายกวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายการบริหารพอร์ตการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัดกล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 68 มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงได้ต่อหลังจากดัชนีหลุดแนวรับ 1,200 จุด ถูกกดดันจากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก รวมทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตช้า แต่ดาวน์ไซด์จำกัด ไม่น่าหลุดแนวรับ 1,000 จุด

10 บิ๊กคอร์ปหุ้นไทย 2 เดือน มาร์เก็ตแคปวูบ 1.36 ล้านล้านบาท

แต่จะไม่ฟื้นตัวในปีนี้ คาดว่าภายใน 2-3 ปี โดยเป้าหมาย SET สิ้นปี 68 อยู่ที่ 1,200 จุด

“ปีนี้จะเป็นปีแห่งความเสี่ยง เสี่ยงทั้งหุ้นไทยที่เศรษฐกิจไม่โต และหุ้นโลกที่อาจเกิด Take Profit หลังจากที่ปรับขึ้นมาจากความคาดหวังเรื่องของ AI ว่า จะสร้างกำไรได้ แต่จริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้สร้างกำไรอย่างที่คาดหวัง ทำให้ตลาดลง กดดันตลาดหุ้นไทยลงมาสร้างฐานแถว 1,100-1,200 มันจะเป็นจังหวะในการสะสมและรอฟื้นตัวปีหน้า”นายกวีกล่าว

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในปีนี้ คือ ปัจจัยต่างประเทศ อาทิ สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งสงครามจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน สะท้อนจากยุโรปที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว ประกอบกับที่จีนที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่สหรัฐยังค้ำเศรษฐกิจโลกอยู่ 

อย่างไรก็ตามจากความท้าทายด้านเทคโนโลยีจากจีน ที่พัฒนาเทคโนโลยี AI พลายแพลตฟอร์ม ทำให้การแข่งขันด้านเทคโนโลยีจะยิ่งกดดันมากขึ้น และอาจกดดันเศรษฐกิจ และหุ้นสหรัฐ ซึ่งหากหุ้นสหรัฐปรับลดลงเศรษฐกิจเริ่มชะลอจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย 

เศรษฐกิจไทยเสี่ยงทุกมุม

ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยประเทศ ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่า GDP ปี 68 จะเติบโต 3% ขณะที่บล.พาย มองว่าเศรษฐกิจโต 2.5% EPS อยู่ที่ 92 บาท ต่ำกว่า Consensus เนื่องจาก ยังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก รวมทั้งนโยบายภาครัฐที่ออกมา จากการแจกเงิน 1.4 แสนล้านบาท แต่ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ หากจะมีดำเนินนโยบายในการแจกเงินอีกครั้ง ก็คงไม่สามารถกระตุกเศรษฐกิจได้ 

“แสดงให้เห็นว่า การแจกเงินไม่ได้เป็นมาตรการที่ดี เพราะการบริโภค ซึ่งมีสัดส่วน 50% ของ GDP แต่ยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือน ทำให้การบริโภคไม่ได้เพิ่ม รัฐบาลคงมีการลงทุนต่อเนื่อง แต่ต่อให้ลงทุนเพิ่มขึ้น ก็ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เนื่องจากงบลงทุนมีสัดส่วนเพียง 7-8% ของ GDP เท่านั้น” 

ขณะการส่งออก จะเห็นว่า แม้เดือนมกราคมจะขยายตัวได้ถึง 13% แต่ทั้งปียังประมาณการที่ 2% แสดงว่า การส่งออกยังมีความเสี่ยงจากประเด็นสงครามการค้า ตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงจากความเสี่ยงนั่นเอง ดังนั้นจากประเด็นดังกล่าวสะท้อนว่า มีความเสี่ยงในทุกมุมมองของ GDP ดังนั้นโอกาสที่ตลาดหุ้นจะฟื้นในปีนี้จึงไม่มี

อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาแล้ว 2 ปีต่อเนื่อง ทำให้ Valuation ถูกมาก โดยมี P/BV 1.2 เท่า ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลขึ้นมาที่ 4% แต่ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงได้ หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยจากสถิติในอดีตตลาดหุ้นเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจะปรับตัวลดลงประมาณ 50% เช่นเดียวกับตลาดโลก

ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยปรับลดลง 30% จาก 1,700 จุดสู่ 1,200 จุด มีโอกาสปรับลดลงอีก 20% ซึ่งเป็นดาวน์ไซด์ ขณะที่ดาวน์ไซด์สหรัฐยังมีอีกมาก เนื่องจากดัชนีปรับตัวทำจุดสูงสุด หากดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงจะกระทบตลาดหุ้นไทยอีกเล็กน้อย

“ทริกเกอร์พ้อยท์ที่จะทำให้ดัชนีถึงจุดต่ำสุดได้คือดอกเบี้ย ปัจจุบันดอกเบี้ยลงมาเรื่อย ๆ แสดงถึงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง สิ่งที่ผมมองคือดอกเบี้ย จะรอลงมาถึงจุดต่ำสุดเท่าที่จะรับได้ ตรงนั้นคือจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นที่คาดว่าจะเกิดขึ้น” นายกวีกล่าว

ด้านนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator)ประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยว่า ยังเปราะบาง เพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในการแกว่งตัวของดัชนีจะย่อสร้างฐาน ในกรอบ 1,160-1,200 จุด 

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด

ทั้งนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกรับแรงกดดันหนักจากนโยบายภาษีของทรัมป์ ซึ่งล่าสุดกล่าวว่า เม็กซิโกและแคนาดาไม่สามารถเจรจาขอยกเว้นภาษี 25% ที่มีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม 2568 ได้ โดยภาษีดังกล่าว จะมีผลกับสินค้านำเข้ารวมมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้าน ดอลลาร์ต่อปี คาดจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและการค้า

ขณะที่แคนาดาและเม็กซิโกได้ขู่ว่า จะใช้มาตรการตอบโต้ รวมทั้งจีนก็กำลังพิจารณาตอบโต้โดยมุ่งเป้าไปที่สินค้าเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ

หน้า 1  หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,076 วันที่ 6 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2568