คลังดัน Thai ESG X หวังชะลอแรงขายหุ้นไทย รักษาเงินทุนในตลาดหุ้น

04 มี.ค. 2568 | 15:28 น.
อัปเดตล่าสุด :04 มี.ค. 2568 | 15:36 น.

กระทรวงการคลังชง "Thai ESG X" หวังกอบกู้ตลาดหุ้น ชะลอแรงขายสถาบันหลังเม็ดเงินไหลออกต่อเนื่อง โบรกมองมีโอกาสจำกัด Downside ตลาดหุ้นไทย แต่ไม่ทั้งหมด แนะควรดึงเม็ดเงินใหม่ใส่ตลาดทุนเพิ่มเติมร่วมด้วย

ตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญปัญหาจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่ยังไม่มีแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบภาคอุตสาหกรรม ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกที่ลดลง รวมถึงปัญหานักลงทุนที่เริ่มหมดศรัทธาในธรรมาภิบาลของบริษัทในตลาดหุ้นไทย

ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมีความผันผวนอยู่มาก เม็ดเงินลงทุนที่เคยเฟื้องฟูก็ค่อยๆ ทยอยไหลออก โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และสถาบัน จากข้อมูลพบว่าเพียงเดือนมกราคมเดือนเดียว มีแรงขายจากกองทุน LTF แล้วประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท โดยยังเหลือเม็ดเงินในกองทุน LTF อีกราว 2 แสนล้านบาท

เป็นผลให้กระทรวงการคลังจึงได้นำแผนเสนอประชุม ครม. ให้เปลี่ยนชื่อและวัตถุประสงค์ของกองทุน LTF เป็นกองทุน Thai ESG X โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ลงทุนจะต้องถือหน่วยลงทุนต่อไปอีก 5 ปี ซึ่งสามารถนำมูลค่าหน่วยลงทุนที่เหลืออยู่ไปลดหย่อนภาษีได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 5 แสนบาทต่อปี เพื่อชะลอแรงขายจากนักลงทุนสถาบันลง
 

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การที่กระทรวงการคลังมีแผนจะปรับกองทุน LTF เป็นกองทุน Thai ESG X นั้น มองว่าก็อาจมีส่วนที่ช่วยจำกัด Downside และแรงขายส่วนหนึ่งให้กับตลาดหุ้นไทยได้ แต่ก็ไม่ทั้งหมด

จะเห็นได้ว่าเงื่อนไขในครั้งนี้ เมื่อมีการโอนหน่วยลงทุนแล้วจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีเป็นระยะเวลา 5 ปีภาษี โดยเริ่มปีแรกในปีภาษี 68 ที่จะยื่นภาษีในปี 69 โดยมีเพดานการยกเว้นภาษีสูงสุด 5 แสนบาท โดยได้สิทธิในปีแรกสูงสุด 3 แสนบาท และปีต่อๆ ไปให้สามารถทยอยขอลดหย่อนภาษีจนครบสิทธิ 5 แสนบาท

ทำให้ไม่เอื้อต่อกลุ่มนักลงทุนที่มีการถือหน่วยในปริมาณมากๆ เช่น เกิน 5 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท เป็นต้นไป ซึ่งเกินข้อกำหนดดังกล่าวส่งผลให้มีโอกาสที่จะเห็นการขายออกมาอยู่ดี แต่ข้อดีที่พอมองเห็นในตอนนี้คือน่าจะช่วยรักษาเงินทุนให้อยู่ในตลาดหุ้นไทยได้ต่อไป ทำให้ Valuation ไม่แพงเกินไป ต้นทุนบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไม่สูงมากไป เป็นผลดีต่อการระดมทุนของบจ.

ทั้งนี้ อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่มองว่าทางกระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องควรมีการพิจารณาเพิ่มเติม คือ การหาเม็ดเงินใหม่ๆ ใส่เข้ามาในตลาดทุนไทยเพิ่มเติมด้วย นอกเหนือจากการรักษาเงินทุนเดิม ซึ่งข้อเสนอหรือเงื่อนไขอาจต้องมีความน่าสนใจมากกว่านี้

"มองว่าการปรับ LTF มาเป็น TESGX หลักๆ เพื่อชะลอแรงขายของนักลงทุนสถาบัน และเพื่อรักษาเงินทุนให้อยู่ในตลาดทุนไทยต่อไป แต่มองว่าจากนี้อาจไม่ได้เห็นเม็ดเงินลงทุนจากการซื้อ LTF ที่เคยทำได้สูงกว่า 7-8 หมื่นล้าน/ปี เหมือนในอดีตอีกแล้ว อาจได้เห็นเพียง 2-3 หมื่นล้านบาท/ปี เท่านั้น ตลาดหุ้นไทยตอนนี้บรรยกาศไม่เอื้อต่อการลงทุน ต้องยอมรับว่านักลงทุนในปัจจุบันมีทางเลือกมากขึ้น และปรับพอร์ตไปลงทุนในต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นไทย"

ขณะที่ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า กระทรวงการคลังเสนอการเปลี่ยนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เป็นกองทุน Thai ESG เข้าประชุม ครม. ในวันที่ 3 มี.ค. 68 เพื่อช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดทุน และกระตุ้นการลงทุนในกองทุน Thai ESG ที่ยังมีมูลค่ากองทุนค่อนข้างน้อยเพียง 3.2 หมื่นล้านบาท 

มาตรการดังกล่าวยังช่วยให้นักลงทุนสามารถแปลงหน่วยลงทุนเดิมไปยังกองทุนใหม่อัตโนมัติ และช่วยเพิ่มตัวเลือกในการลงทุนนอกเหนือจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่เป็นทางเลือกหลักในการลดภาษี สะท้อนจากมูลค่ากองทุน 1.93 ล้านล้านบาท และ 1.39 ล้านล้านบาท ตามลำดับ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจัดการการลงทุนเอง

เมื่อพิจารณาเงื่อนไขกองทุนพบว่า กองทุน LTF ลงทุนในตลาดหุ้นเป็นสำคัญ โดยไม่คำนึงถึงหลักการ ESG เพื่อกระตุ้นตลาดทุนในประเทศเป็นสำคัญ ขณะที่กองทุน Thai ESG ลงทุนในบริษัทที่ปฏิบัติตามหลัก ESG เท่านั้น โดยทางศูนย์วิจัยฯ ประเมินว่า

  1. หุ้นและตราสารหนี้ของบริษัทที่ไม่ผ่าน ESG โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก (Small Cap) จำนวนมากมีความเสี่ยงที่จะถูกเทขาย และพลาดโอกาสในการรับเม็ดเงินลงทุนเพิ่มเติมจากมาตรการดังกล่าว แต่จะไม่กระทบภาพรวมของตลาดเงิน จากมูลค่าที่ค่อนข้างน้อย ในปี 67 มีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ESG กว่า 695 บริษัท หรือ 75% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด แต่คิดเป็นมูลค่าเพียง 18% ของมูลค่าหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด
  2. เงินลงทุนจะไหลเข้าและกระจุกในบริษัทขนาดใหญ่ (Large Cap) ที่ผ่านมาตรฐาน ESG ซึ่งมีเพียง 288 บริษัท หรือ 25% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด แต่กลุ่มบริษัทดังกล่าวมีมูลค่าหลักทรัพย์รวมกันกว่า 82% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด หรือ 14.87 ล้านล้านบาท

ดังนั้น ธุรกิจขนาดเล็กต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ESG เพื่อการระดมทุนและการลงทุนที่ยั่งยืนในอนาคต