สภาสูงเดือดดาล รุมถล่ม“ดีเอสไอ”จมเขี้ยว ถอนแค้นสอบฮั้ว สว.

05 มี.ค. 2568 | 07:00 น.

อนุฯกลั่นกรองชง กคพ.รับ “ฮั้ว สว.” เป็นคดีพิเศษ 2 กรณี “อั้งยี่-ฟอกเงิน” ขณะที่“สภาสูง”เดือด แสลงหู“อั้งยี่-ซ่องโจร” บรรดา สว.รุมถล่มดีเอสไอจมเขี้ยว การเมืองแทรกแซง จ้องล้มล้างการปกครอง “นันทนา”สวนถ้าไม่ผิดอย่าร้อนตัว-กลัวการตรวจสอบ

คณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ นำโดย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะประธานอนุกรรมการ ร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2568 เพื่อพิจารณาคดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ฮั้ว สว.) ปี 2567 

ร.ต.อ.สุรวุฒิ เปิดเผยหลังการประชุมว่า ในที่ประชุมได้มีการพูดคุยตามอำนาจหน้าที่ของเรา ซึ่งกฎหมายได้กำหนดไว้ 3 ข้อ คือ กรรมการทุกคนเห็นเป็นเอกฉันท์ตรงกันว่า มีความผิดอาญาเกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 (อั้งยี่) มาตรา 116 (ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ) มาตรา 77 (1) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งมีลักษณะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (ก) - (จ) แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 

 

เนื่องจากมีผลกระทบเป็นวงกว้าง ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีต่อประชาชน รวมถึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำเสนอต่อบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ เพื่อให้รับเป็นคดีพิเศษทั้ง 2 กรณี

กรณีที่ 1 คือ กรณีการกระทำความผิดทางอาญาอื่นที่เกิดขึ้นจากการอั้งยี่ รวมทั้งการกระทำความผิดที่เป็นการได้มาซึ่ง สว. ตามมาตรา 77 (1) ส่วนกรณีที่ 2 คือ ความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการคดีพิเศษ 

ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวว่า สำหรับแนวทางของบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ ในวันที่ 6 มี.ค. มีดังนี้ หากรับเป็นคดีพิเศษ ก็จะมีการสอบสวนโดยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับพนักงานอัยการ แต่ถ้าไม่รับเป็นคดีพิเศษ ก็ต้องมีมติว่าจะส่งต่อหน่วยงานใดดำเนินการแทน

สว.รุมถล่มดีเอสไอ

ขณะที่ในการประชุมวุฒิสภา วันที่ 4 มี.ค. 2568 มี นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธาน ได้พิจารณาเสนอญัตติด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นผู้เสนอ

พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวว่า ในกระบวนการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ต่อการรับเรื่องร้องเรียนในกระบวนการเลือก สว. มีการล็อคเป้าหมาย โดยอ้างว่ามี สว. จำนวน 138 คน ทั้งนี้ในกระบวนการสืบสวนสอบสวน ดีเอสไอสามารถล็อคเป้าแยกประเภทสี มุ่งเป้าสว.สีน้ำเงินได้อย่างไร ตนใส่เสื้อสีน้ำเงิน และพร้อมจะเข้าสู่กระบวนการแจ้งข้อกล่าวหา และกระบวนการยุติธรรม หากมีพยานหลักฐานเพียงพอจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวด้วยว่า เคยได้ยินหรือไม่ว่ามีทฤษฎี ศูนย์มีค่ามากกว่าหนึ่ง นักคณิตศาสตร์ยังคิดไม่ได้ แต่มีนักเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยสามารถคิดได้ ทำให้ศูนย์มีค่ามากกว่าหนึ่ง และได้ จำนวน สว. ที่เข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 

ทั้งนี้มี สว.ที่เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้อิมแพคเมืองทองธานี พบเห็นเหตุการณ์ปิดห้องประชุมลับ คนจำนวน 400 คน และแจกจ่าย เอกสาร หมายเลขที่ใช้เลือก ตนอยากทราบถามว่าอธิบดีดีเอสไอ รับทราบข้อมูลดังกล่าวหรือไม่ มีข้อมูลสืบสวนเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ ตนเห็นว่าการดำเนินการลักษณะดังกล่าว เป็นขบวนการร่วมกันตั้งแต่ระดับจังหวัด และจากการดำเนินงานได้ตัวเลข คือ 21+24 คล้ายกับตัวเลข 138+2

“ตัวเลขชุดนี้ อธิบดีดีเอสไอสามารถสอบสวนตามที่กล่าวหาว่าเป็นกระบวนการอั้งยี่หรือไม่ ผมเห็นว่า เลือกปฏิบัติ การที่ดีเอสไอพยายามให้บอร์ดดีเอสไอให้สิทธิพิเศษฮั้วเลือกตั้ง สว. เป็นการก้าวก่าย เข้าข่ายล้มการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งคนธรรมดาและอัยการสูงสุดสามารถดำเนินการเพื่อให้วินิจฉัยและยุติการกระทำดังกล่าว และตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 116 เข้าข่ายยุยง ปลุกปั่น มีเจตนาเปลี่ยนแปลงกฎหมายของแผ่นดิน ทำให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร” พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าว

ยั๊วะถูกกล่าวหา“อั้งยี่-ซ่องโจร”

ด้าน พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า พวกตนมาตามบทบาทหน้าที่ และครรลองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ และมาตามรัฐธรรมนูญ 2560 เรามาด้วยความถูกต้องไม่กลัวการตรวจสอบ และเจ้าภาพที่ดูแลเรื่องการเลือกตั้ง กฎหมายบัญญัติชัดเจน แต่คำกล่าวของบางคนกล่าวหาการเลือก สว.ที่ผ่านมา เป็น “อั้งยี่” เพราะมีการรวมตัวกัน ซึ่งคำว่า อั้งยี่คือการรวมตัวกัน ทำในสิ่งที่ไม่ดี หากรวมตัวกัน ปรึกษาหารือกันแล้วเป็นอั้งยี่ ก็ต้องไปตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วประเทศก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะล่าสุดที่มีการเลือกองค์การบริหารส่วนจังหวัด จินตนาการหรือไม่ว่าที่ผ่านมาเป็นอั้งยี่

“ท่านบุญส่ง สมมติว่าท่านไม่สบาย ไปโรงพยาบาล โรงพยาบาลจะมีเจ้าหน้าที่ใช่หรือไม่ อยู่ไหน อะไรยังไง ป่วยเป็นอะไร แล้วส่งต่อรายละเอียดไปให้หมอเป็นคนพิจารณาใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้ดีเอสไอเป็นเพียงเจ้าหน้าที่เบื้องต้น แต่ประกาศปาวๆ ว่า สว. เป็นอั้งยี่ซ่องโจร คนทั้งประเทศแตกตื่นหมด ไปไหนมาไหนก็ถามหมด ชี้หน้าหมด ตอนนี้ไม่กล้าเดินแล้ว” พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าว

พล.ต.ท.บุญจันทร์ ยังกล่าวอย่างมีอารมรณ์ว่า เราไม่กลัวการตรวจสอบ แต่ขออนุญาต ทำงานทำหน้าที่ไป แต่อย่าเอาปากทำ อย่าพูดมาก ลิ้นมันจะพันคอท่าน สิทธิเสรีภาพของ สว. รัฐธรรมนูญเขียนไว้ ป้องคุ้มครอง มีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว ชื่อเสียง เกียรติยศและครอบครัว

“ฝากอธิบดีดีเอสไอและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อย่าใช้ปากทำงาน ใช้ส่วนอื่นทำ ทำหน้าที่ไป ถ้าทำไปพูดไป ความผิดจะตามมาหลายเรื่อง ยกตัวอย่าง หมิ่นประมาท ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า ตอนนี้ สว. ทุกท่านที่นั่งอยู่ในห้องเกือบ 200 คน ถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้นมายืนปกป้องสิทธิ ว่าพวกเรามาโดยชอบ มาโดยถูกต้องพิสูจน์ให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้เห็น

ตอนนี้หลายกรรมาธิการลงพื้นที่ตรวจสอบทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เพื่อให้เห็นว่า สว. มีไว้ทำไม แต่ขณะเดียวกัน มีบางคนมันกระตุกขา กระตุกทำไม กระตุกเพื่ออะไร ตอนนี้เรากำลังทำทุกอย่างเดินไปด้วยดี แต่มีมารผจญ บางอย่างมากระตุก มาใส่ร้ายป้ายสีพวกเราตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องลุกขึ้นมายืนหยัด” พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าว

                              สภาสูงเดือดดาล รุมถล่ม“ดีเอสไอ”จมเขี้ยว ถอนแค้นสอบฮั้ว สว.

ฉะการเมืองแทรกดีเอสไอ

พ.ต.อ.กอบ อัจนากิตติ สว. กล่าวว่า มีบุคคลที่เป็นคณะกรรมการคดีพิเศษ ที่มาจากฝ่ายการเมือง ซึ่งอยู่ในอำนาจแต่งตั้งของรัฐมนตรี เราดูหลักของการทำงานตรงนี้ ก็จะรู้ว่าฝ่ายการเมือง เข้ามาครอบงำหรือแทรกแซงกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือไม่ กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นกรมสอบสวนที่ใช้ กฎหมาย ตามอำเภอใจ มาตลอด หรือไม่ 

“มีผู้ที่เป็นพ่อมด หรือ ตะเกียงวิเศษฝ่ายการเมือง ปล่อยยักษ์ตัวนี้ออกมา และเห็นแล้วหรือไม่ว่าอิทธิฤทธิ์ของยักษ์ตัวนี้ที่ออกมาจากตะกียง มีอำนาจจนไม่สามารถต้านทานได้ และทำให้ประชาชน อกสั่นขวัญแขวน เห็นว่า ความเสมอภาคความเท่าเทียมเป็นแค่นามธรรมเท่านั้นเอง คนที่ปล่อยยักษ์ตัวนี้ออกมาต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะดีเอสไอ ต้องรับผิดชอบ 

ผมอยากถามว่า กฎหมายคดีพิเศษ มาตรา 11 ที่ใช้กฎหมายโดยอนุโลม ได้ทำบ้างหรือยัง และขอยืนยันว่า ความเห็นของอนุกรรมการคดีพิเศษเป็นความเห็นเบื้องต้น และคณะกรรมการคดีพิเศษ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หากเห็นด้วยก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นตามมา”

ชี้ดีเอสไอแทรกแซง กกต.

นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. กล่าวเช่นกันว่า กระบวนการยุติธรรม ที่นำโดย พ.ต.อ.เอกทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ทำให้ตนรู้สึกหมดศรัทธา แต่สว.ชุดนี้พร้อมรับการตรวจสอบที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่กลัวดีเอสไอบิดเบือนข้อมูลจนทำให้ประชาชนเข้าใจว่า สว.ชุดนี้ เป็นอั้งยี่ซ่องโจร หรือเป็นโจร และดีเอสไอ ที่กำกับโดย รมว.ยุติธรรม ไม่ได้มีอำนาจควบคุมการเลือกตั้งเหมือนคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ดังนั้น การจะตรวจสอบใด ๆ จะต้องใช้อำนาจที่อยู่ในขอบเขตของตน จึงสะท้อนว่าดีเอสไอกำลังใช้อำนาจแทรกแซง กกต.ในการได้มาซึ่ง สว.

“การอ้างว่า มีการฮั้ว เป็นการกล่าวหา สว.ชุดนี้ โดยไม่มีการอ้างอิงหลักกฎหมายใด ๆ เพื่อให้ สว.ตกเป็นจำเลยสังคม และการที่คณะกรรมการ กคพ. เลื่อนการลงมติรับเป็นพิจารณาคดีพิเศษ โดยอ้างเชิญ กกต.มาชี้แจง เป็นการประวิงเวลาเพื่อไปล็อบบี้คณะกรรมการ เพื่อรับเป็นคดีพิเศษ และเป็นการฮั้วกันหรือไม่”

ติดใจการทำหน้าที่ของดีเอสไอ

นายชินโชติ แสงสังข์ สว. เห็นว่า จุดกำเนิดการร้องเรียนกระบวนการได้มาซึ่ง สว.ส่วนใหญ่มาจาก “ผู้แพ้การเลือกตั้ง” ถ้าประชาชนคนส่วนใหญ่ รู้สึกเดือดร้อนกับการชนะการเลือกตั้งของพวกตน ไม่ติดใจ แต่สาระทั้งหมดมาจากผู้แพ้การเลือกตั้ง จึงต้องถามสังคมว่า ถ้าผู้แพ้ชนะการเลือกตั้ง จะออกมาร้องเรียนหรือไม่ ฉะนั้น ผู้แพ้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการร้องเรียน เพื่อเล่นงานพวกตน ซึ่งตนก็เข้าใจผู้แพ้ว่า อยากชนะมาเป็น สว.เช่นเดียวกับพวกตน 

“ผมติดใจการทำหน้าที่ของดีเอสไอ โดยขอปรักปรำและฟันธงว่า หาก 6 มี.ค.นี้ ดีเอสไอรับคดีนี้มาทำ ถือว่า มีวาระซ่อนเร้น ในการรับใช้กลุ่มบุคคล หรือกลุ่มการเมือง ซึ่งไม่สามารถแปลเป็นอื่นได้”

ขณะที่ นายอลงกต วรกี สว. ได้เสนอให้ยุบดีเอสไอ  เพราะซ้ำซ้อนกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สร้างความแตกแยกในสังคม นักการเมือง และ รัฐมนตรีสามารถแทรกแซงได้ หรือให้ดีเอสไอไปสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้ปราศจากอำนาจนักการเมือง หรือพรรคการเมือง จึงขอให้ประธานวุฒิสภา ได้ส่งแนวคิดดังกล่าว ให้คณะกรรมาธิการของวุฒิสภาที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป

“นันทนา”ฉะไม่ผิดอย่าร้อนตัว

ขณะที่ นางสาวนันทนา นันทวโรภาส สว. อภิปรายว่า ญัตตินี้จะมีแรงจูงใจทางการเมือง พร้อมระบุ การอภิปรายเป็นเอกสิทธิ์ของ สว.อย่าเหมารวม และอย่านำสถาบันวุฒิสภา มาปกป้องตัวเอง เพราะขณะนี้ สว.กำลังตกเป็นจำเลยสังคม ยิ่งหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ สังคมก็จะยิ่งสงสัย 
ดังนั้น หากไม่ผิด อย่าร้อนตัว อย่ากลัวเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ เพื่อให้สังคมหายสงสัย และเป็นวุฒิสภาที่สง่างาม

ภายหลังการอภิปรายเสร็จสิ้น นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้มอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ส่งรายละเอียดและข้อเสนอทั้งหมดไปยังคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป