ทั่วทั้งโลกยังคงจับตาการดำเนินนโยบายของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากการเริ่มต้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสมัยที่ 2 ซึ่งได้รับความสนใจจากนานาประเทศในด้านแนวทางนโยบายที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้ว่าช่วงหาเสียงจะมีการแสดงจุดยืนและคำมั่นที่ชัดเจนหนักแน่น แต่การดำเนินงานในช่วงแรกกลับยังไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกยังคงเฝ้าจับตาความเคลื่อนไหวที่อาจเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
นโยบายการค้าของทรัมป์ที่ถูกพูดถึงอย่างหนักหน่วงในระหว่างการหาเสียง โดยเฉพาะการตั้งกำแพงภาษีทางการค้า ดูเหมือนจะถูกเลื่อนลำดับความสำคัญออกไปในช่วงแรกของการดำรงตำแหน่ง โดยทรัมป์หันไปให้ความสำคัญกับนโยบายภายในประเทศแทน
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังคงส่งสัญญาณเกี่ยวกับภาษีศุลกากร โดยเขาเคยกล่าวถึงการตั้งภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งอาจมีผลในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ แต่จนถึงตอนนี้ตลาดยังคงรักษาความมั่นใจในแนวโน้มเศรษฐกิจโลกอย่างระมัดระวัง
ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารแห่งแคนาดา และธนาคารกลางอังกฤษ ต่างเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรองรับแนวโน้มเงินเฟ้อที่คาดว่าจะลดลง ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงคาดการณ์ว่าจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้กับทรัมป์ที่พยายามกดดันให้ลดต้นทุนการกู้ยืม
การพูดคุยของทรัมป์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สำคัญ แม้ทรัมป์เคยขู่ตั้งภาษี 60% ต่อจีน แต่บทสนทนากับผู้นำจีนกลับสร้างความประทับใจในแง่บวก โดยทรัมป์กล่าวว่าการพูดคุยครั้งนี้ "เป็นการสนทนาที่ดีและเป็นมิตร"
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังคงไม่แน่นอน ตลาดโลกตอบสนองเชิงบวกด้วยการปรับตัวขึ้นของหุ้น ราคาน้ำมันลดลง และความคาดหวังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้รับการสนับสนุน
ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่สิงคโปร์ผ่อนคลายนโยบายการเงิน และสวีเดนเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้
นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่าความเชื่อมั่นในตลาดอาจเป็นเพียงชั่วคราว เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายของทรัมป์ โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน
ประธานาธิบดีสิงคโปร์ ธาร์มาน ชานมุการัตนัม กล่าวในที่ประชุม World Economic Forum 2025 ที่ดาวอสว่า การเปลี่ยนแปลงน้ำเสียงของทรัมป์ต่อจีนสะท้อนถึงความพยายามที่จะสร้างความเข้าใจใหม่ในความสัมพันธ์ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก
ในขณะที่ธนาคารประชาชนจีนยังคงไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากความกังวลเรื่องค่าเงินหยวนที่อาจอ่อนตัวลงหากความตึงเครียดทางการค้ารุนแรงขึ้น
ประเทศตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ยังไม่แสดงท่าทีจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ยกเว้นบราซิลที่เริ่มรอบการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยใหม่
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้จะเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งควรถือเป็นข้อได้เปรียบสำหรับทรัมป์
แม้ตลาดจะตอบรับเชิงบวก แต่สิ่งสำคัญคือการรักษาสมดุลไม่ให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก