TrueID ในวันที่ OTT สัญชาติไทยต้องพร้อมแข่งดุแพลตฟอร์มคอนเทนต์

20 ก.พ. 2568 | 16:38 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.พ. 2568 | 17:05 น.

TrueID ปักธงเป็นแพลตฟอร์มของคนไทย ส่งออกคอนเทนต์ไทย วัฒนธรรมไทย เน้นเรื่องของการพัฒนาเพื่อเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็น “หัวใจของธุรกิจ”

นายวินท์รดิศ กลศาสตร์เสนี  ประธานฝ่ายดิจิทัลมีเดีย บริษัท ทรู ดิจิทัลกรุ๊ป เปิดเผยถึงการดำเนินธุรกิจของ TrueID ว่า TrueID เป็นแพลตฟอร์มคนไทย ที่ไม่ได้ทําเรื่องแค่ VDO streaming แต่ยังรวมถึงบริการอื่นๆ ซึ่งถูกสร้างมาตั้งแต่เริ่ม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ Privilege มากมายที่ทรูให้ผ่านทรูเรดการ์ด และทรูแบล็กการ์ด  โดยจํานวน 1 ใน 3 ของผู้ใช้งาน เข้ามาเพื่อหา Privilege ต่างๆ  ภายในทรู ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน used case ใหญ่ที่สุดของการใช้ TrueID นอกจากนี้ เรายังสร้าง community ของคนที่ชอบคอนเทนต์เหมือนๆ กัน เช่น community ของคนดูกีฬา ดูฟุตบอลที่ทําเรื่อง live commenting สามารถ text คุยกันระหว่างมีการแข่ง รวมถึง community ธรรมะ สามเณรปลูกปัญญาธรรมที่กลายเป็น community ที่คนเหนียวแน่นมาก  อีกทั้ง  TrueID ยังมีคอนเทนต์มากมาย ทั้งจัดสร้างเอง ซื้อลิขสิทธิ์เพิ่มจากคู่ค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  นำคอนเทนต์ของทรูวิชั่นส์เข้ามาบรอดแคสต์อยู่บนแพลตฟอร์ม TrueID

 

“ธุรกิจ OTT ทั้งหมด 80-90% ส่วนใหญ่คือ advertising base ถามว่าที่เราทําก็ไม่ต่างกันเท่าไร แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างชัดเจนคือ ถ้า OTT ต่างชาติส่วนใหญ่ มีวัตถุประสงค์ คือถ้าไม่เป็นโฆษณา ก็เป็นระบบ subscription โดยเขาสามารถเอาคอนเทนต์ของเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าของคอนเทนต์เอง  หนึ่งเซอร์วิสหนึ่งคอนเทนต์สามารถไปเป็น 10 ประเทศ 100 ประเทศ ขณะเดียวกัน True ID ต้องการให้ประชากรไทยทั้ง 70 ล้านคน เข้าถึงคอนเทนต์ที่มีคุณภาพได้ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย นั่นคือวัตถุประสงค์หรือวิสัยทัศน์ของ TrueID เพราะฉะนั้นการที่มี Free Tier คือ การที่มีโฆษณา วัตถุประสงค์คือเราต้องการให้คนเข้าถึงเยอะที่สุด สะท้อนให้เห็นว่าทําไม TrueID ถึงเป็นแพลตพอร์มที่มีคนดูจำนวนมาก เพราะไม่มีการคิดค่าใช้จ่าย โดยค่าใช้จ่ายจะไปที่ฝั่งโฆษณา ที่แบรนด์ ที่ agency แทน  แต่เราก็มีทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ไม่อยากดูโฆษณาทําอย่างไร  ก็สามารถ subscribe ได้”

นายวินท์รดิศ กลศาสตร์เสนี 

 

เมื่อถามถึงเรื่องของ TrueID และข้อพิพาทกับ Regulator ที่เป็นข่าวนายวินท์รดิศ กล่าวว่า  ผมก็เป็นคนดูภาคธุรกิจ เชื่อว่าไม่ว่าธุรกิจไหนก็ไม่อยากจะมีเรื่องหรือมีข้อพิพาทกับผู้คุมกฎ หรือผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอยู่แล้ว เพราะว่ามันไม่ได้ช่วยเอื้ออะไรเลย แต่ความเป็นจริงคือ พอมีเรื่องจริงๆ  เราเริ่มได้เอกสาร จริงๆ ต้องบอกว่าเราได้เอกสารจากคู่ค้าเรา พอคู่ค้าส่งมาเราก็ตกใจ เราจึงทําหนังสือเช่นเดียวกันไปที่ กสทช. ถึง 2  รอบ แต่ก็ไม่ได้รับ feedback อะไร แต่พอเริ่มมีผลกระทบจริงๆ กับธุรกิจ เราเองในฐานะผู้ให้บริการที่มีลูกค้า 30  กว่าล้านคนทุกเดือน   รวมถึงคู่ค้าของเรา ต้องการให้ความมั่นใจว่าเราไม่ได้ทําผิดในเชิงกฎหมาย  แน่นอนความเชื่อถือ เป็นสิ่งสําคัญในการทําธุรกิจ เราจําเป็นที่จะต้องเอาเข้าสู่การฟ้องร้อง  แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่เราอยากทํา แต่เรามองว่า เรามีหน้าที่ในการเป็นแพลตฟอร์มต่อผู้บริโภคและต่อคู่ค้า ทําให้ดำเนินการตรงนั้น ส่วนว่าเราเจาะจงหรือไม่ ตอนนี้กระบวนการอยู่ในศาล และมีการพิจารณาผลคดีไปแล้ว แต่ความเป็นจริง คือว่า ตอนที่เราได้รับเอกสารนี้  มีวิธีเดียวที่จะทําได้ คือฟ้องคนที่ลงนาม ซึ่งวันนั้น เป็นรักษาการรองเลขาฯ ของ กสทช. แต่พอเข้าสู่กระบวนการในการสืบพยานในส่วนของศาล  ปรากฏว่าคนที่ลงนามไม่ได้เป็นคนสั่งการ เราก็เลยต้องเปลี่ยนจากการที่ฟ้องคนนั้นไปเป็นคนที่สั่งการ ก็จะเห็นเลยว่าไม่ใช่สิ่งที่เรา pinpoint คน  แต่คือการทําตามขั้นตอน วัตถุประสงค์ คือต้องการสร้างสรรค์ร่วมมากกว่า สิ่งที่ทําวันนี้คือแค่ต้องการเน้นว่าเราไม่ผิด อยากจะให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม แต่จุดประสงค์เราหลักคือว่า ข้างหน้าเราจะไปกันได้อย่างไร ผมว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งที่หลายคนยังสงสัย ก็คือว่า ธุรกิจ OTT  ยังไม่มีกฎหมายครอบคลุม แต่สิ่งที่ค่อนข้างยิ่งสะท้อนความเป็นจริงมากก็คือว่า พอไม่มีการควบคุม การที่เราเป็นบริษัทไทย เราเองก็อยากจะอยู่ภายใต้ความคุ้มครอง แต่ก็ควรจะมีความคุ้มครองที่มี benefit ชัดเจน  วันนี้ ความคลุมเครือของการคุ้มครอง ทําให้การคุ้มครองไม่มีความเท่าเทียม เพราะว่าบริษัทฝรั่ง แพลตฟอร์มฝรั่งไม่ได้อยู่ในการคุ้มครอง แพลตฟอร์มไทยมองว่า วันนี้การคุ้มครองก็ไม่ได้ มีเอื้อของธุรกิจเลย ดังนั้นต้องกลับมาที่ว่าประเทศและเจ้าของนโยบาย ผู้คุมกฎทั้งหลาย มองธุรกิจนี้สําคัญขนาดไหน จะ impact อย่างไร เราเองในฐานะที่เป็น startup platform ใหญ่อันดับต้นๆ ของเมืองไทย เรายินดีและพร้อมที่จะเข้าไปร่วมเสวนาให้ความรู้ ให้จุดที่บาลานซ์ในการได้รับความสนับสนุน ในขณะเดียวกัน ปกครองถึงเรื่อง privacy เรื่องของการที่ผู้บริโภคควรจะพึงได้ในการที่มีการคุมกฎตรงนี้ เราพร้อมและยินดีเสมอในเรื่องนี้ เพราะว่า แพลตฟอร์มไทยวันนี้มีน้อยมาก ไม่ใช่แค่ในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ ทุกๆ อุตสาหกรรม เราต้องการเป็นปลายน้ำหรือคนกลาง หรือต้นน้ำของธุรกิจ เรารู้อยู่แล้วว่าธุรกิจวันนี้คนกลางโดนบีบ มันจะไม่มีแล้ว งั้นภาครัฐและภาคเอกชนต้องการเป็นปลายน้ำคอยแต่ได้รับในส่วนของการเป็นผู้บริโภคที่ดี หรือต้องการเป็นต้นน้ำของธุรกิจและสร้างสรรค์อุตสาหกรรม ซึ่งสามารถ impact อีกหลาย industry ทั้งหมดเลย  ทุกอย่างสามารถสื่อสารด้วย คอนเทนต์  คือทําไมทุกบริษัทเทคถึงทําคอนเทนต์ เพราะเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโลกที่ใหญ่กว่า content business มาก

 

“หนึ่งในสิ่งที่เราให้ความสําคัญมาก คือการพัฒนาเพื่อเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้งาน วันนี้ผู้บริโภคทุกคนมีความ unique ของเขา แพลตฟอร์มอย่างเราจําเป็นต้องเข้าถึงและรู้ insight ของคน  ด้วยจุดหมายคือเพิ่มความพึงพอใจในการใช้งาน TrueID ไม่ว่าจะเป็นการดูคอนเทนต์ที่ชื่นชอบ การใช้บริการด้านอื่น การอยู่กับ community ส่วนที่ 2 คือการสร้าง ecosystem หรือ แพลตฟอร์มของไทยไปสู้ในธุรกิจ commerce ที่เรียกว่า social commerce แต่เป็นรูปแบบที่ unique กับประเทศ โดยใช้แพลตฟอร์ม TrueID เพราะแน่นอนวันนี้ สิ่งที่ disrupt แม้กระทั่ง global player คือ TikTok สิ่งหนึ่งที่เราพยายามทําคือ หาจุดลงตัวของ ecosystem ของ TrueID ร่วมกับพันธมิตรของเรา สร้างแพลตฟอร์มที่สามารถตอบโจทย์คนไทยได้ดีกว่าสิ่งที่แพลตฟอร์มต่างชาติทําวันนี้ เพราะฉะนั้นเกมนี้ ไม่ใช่เกมส์ short term มันคือการสร้างนวัตกรรมใหม่บนสิ่งที่เริ่มเห็นแล้วว่าโลกกําลังเปลี่ยนไป เพราะว่าโลกคอนเทนต์กับโลกขายของ เริ่มใกล้กันมาก แทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน วันนี้สิ่งที่เราทํา เราเริ่มมองไปถึงว่า ในยุคต่อไปที่มี AI มาเป็นตัวกลาง ตัวแปรหลักของธุรกิจ เราจะเป็นผู้นําได้อย่างไร แน่นอนรากฐานการพัฒนาเพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจเป็นอย่างไร เรามุ่งทําทุกวันคือ Product Development ไม่มีวันหยุด เพราะนี่คือหัวใจของธุรกิจ” นายวินท์รดิศ กล่าวสรุป.