คำพิพากษาจำคุก "พิรงรอง" 2 ปี คดี True ID ฉบับเต็ม

12 ก.พ. 2568 | 16:40 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.พ. 2568 | 17:06 น.

เปิดคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง สั่งจำคุก “พิรงรอง รามสูต” เป็นเวลา 2 ปี คดีพิพาก True ID ฉบับเต็ม

จากกรณีเมื่อวันที่ 6 ก.พ.2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ ถูกบริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ฟ้องร้องในข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ปมออกหนังสือเตือนทีวีดิจิทัลมีโฆษณาแทรก

ขณะที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้เผยแพร่ข่าวสรุปคำพิพากษาคดีนี้ไปแล้ว ซึ่งมีการระบุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพฤติการณ์การกระทำความผิดของ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต ในฐานะจำเลยว่า มีการใช้อํานาจหน้าที่โดยมิชอบ โดยกระทําการเร่งรัดสั่งการหรือดําเนินการให้สํานักงาน กสทช. ทําหนังสือแจ้งไปยังผู้ให้บริการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ในนามสํานักงาน กสทช. ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมการ ทันที โดยที่ กสทช. ยังไม่ได้มีการพิจารณา มีมติ หรือมีคําสั่งการในเรื่องดังกล่าว โดยจําเลยได้กล่าวในที่ประชุม คณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่จะล้มกิจการ ของโจทก์ โดยกล่าวทํานองว่า วิธีการที่เราจะจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ไปทําที่โจทก์โดยตรง แต่ไปทําที่ช่องรายการที่ รับใบอนุญาตจาก กสทช. เป็นการใช้วิธีตลบหลัง โดยในที่ประชุมมีผู้เข้าประชุมไม่เห็นด้วยกับวิธีการของจําเลย

เนื่องจากเป็นการกระทําเฉพาะการให้บริการแอปพลิเคชัน True ID ของโจทก์ แต่จําเลยพยายามโน้มน้าวและรวบรัดการพิจารณา และก่อนจบการประชุมของคณะอนุกรรมการฯ จําเลยให้เตรียมความพร้อมที่จะล้มหรือ ระงับการให้บริการแอปพลิเคชัน True ID ของโจทก์ โดยใช้คําพูดว่า “ต้องเตรียมตัวจะ จะล้มยักษ์” และจําเลยก็ยอมรับว่า คําว่า “ยักษ์” หมายถึงโจทก์ ถ้อยคําดังกล่าวเป็นการสื่อความหมายชัดเจนว่า ประสงค์ให้กิจการของโจทก์ได้รับความเสียหาย พฤติการณ์ของจําเลยดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ เจตนามุ่งประสงค์กลั่นแกล้งโจทก์ และใช้อํานาจหน้าที่ของตนไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กฎหมายกําหนด ทําให้โจทก์ได้รับความ เสียหาย

คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ตัดสินคดีนี้ ฉบับเต็มเป็นทางการแล้ว จึงขอนำรายละเอียดทั้งหมด มานำเสนอ ณ ที่นี้

คำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท 147/2566 คดีหมายเลขแดงที่ อท 26/2568 ลงวันที่ 6 ก.พ.2568 ความอาญา 

  • ระหว่าง โจทก์ คือ บริษัททรู ดิจิทัล กรุ๊ป จํากัด
  • จำเลย คือ นางสาวพิรงรอง รามสูต
  • เรื่อง ความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ

คำฟ้องโจทก์

 

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคําฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจํากัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการให้บริการอุปกรณ์ บริการเชื่อมต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทุกชนิดทุกประเภทผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โจทก์เป็นผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน True ID มาตั้งแต่ ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน โดยแอปพลิเคชัน True ID เป็นการให้บริการประเภทผ่านอินเทอร์เน็ต สาธารณะ หรือโอทีที (Over The Top หรือ OTT) ที่ไม่มีการบริหารจัดการโครงข่ายเป็นการเฉพาะ (Non-Dedicated Managed Network) ซึ่งมีความแตกต่างจากการให้บริการโครงข่ายทางสาย(เคเบิล) และโครงข่ายไอพีทีวี (IPTV) เพราะบริการโอทีทีของ True ID มีลักษณะเป็นเพียงแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มในการให้บริการออนไลน์ที่ประชาชนผู้ใช้บริการสามารถใช้แอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มดังกล่าวในการเข้าถึงข่าวสาร ภาพยนตร์ รายการบันเทิง เกมและข้อมูลต่าง ๆ ที่อยู่ในแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มดังกล่าวในลักษณะเช่นเดียวกันกับแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มที่มีการใช้บริการอย่างแพร่หลาย เช่น Netflix, Google และ YouTube เป็นต้น และเป็นการให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตสาธารณะของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วไป ซึ่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ“กสทช.” ยังไม่ได้กําหนดให้ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มดังกล่าวต้องขอรับใบอนุญาตจาก กสทช. แต่อย่างใด

ส่วนการให้บริการโครงข่ายทางสาย (เคเบิล) เป็นการส่งสัญญาณรายการโทรทัศน์ไปถึงผู้ชมทางบ้านผ่านสายเคเบิลแทนการส่งสัญญาณทางอากาศ และ การให้บริการโครงข่ายไอพีทีวี (Internet Protocol Television) คือ การส่งสัญญาณรายการโทรทัศน์ผ่านระบบโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีการบริหารจัดการโครงข่ายเป็นการเฉพาะ(Dedicated Managed Network) แตกต่างจากบริการของโอทีทีที่ใช้ระบบโครงข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะ เข้าสู่กล่องรับสัญญาณของผู้ให้บริการโทรทัศน์แต่ละราย เช่น กล่อง 3BB กล่อง AIS PLAYBOX เป็นต้น และผู้ใช้บริการจะเข้าถึงบริการไอพีทีวีได้ต้องใช้โครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีการบริหารจัดการโครงข่ายเป็นการเฉพาะ รวมถึงมีกล่องรับสัญญาณของผู้ให้บริการดังกล่าว ซึ่ง กสทช. ได้กําหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ให้บริการไอพีทีวี อยู่ภายใต้การให้บริการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ตามประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 จาก กสทช.

จําเลยเป็นกรรมการใน กสทช. ที่มีอํานาจหน้าที่จัดทําแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ กําหนดการจัดสรรคลื่นความถี่ระหว่างคลื่นความถี่ที่ใช้ในกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กิจการวิทยุคมนาคม และกิจการโทรคมนาคม กําหนด ลักษณะและประเภทของกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พิจารณาอนุญาตและกํากับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมและเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 จําเลยจึงเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 จําเลยได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์โดยมีอํานาจหน้าที่ให้ข้อเสนอแนะ ข้อพิจารณา กลั่นกรอง และให้ความเห็นเกี่ยวกับการอนุญาต และกํากับดูแลการประกอบกิจการโทรทัศน์ รวมทั้งให้รายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ต่อ กสทช.รายละเอียดปรากฏตามคําสั่ง กสทช.ที่ 19/2565 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ 

เมื่อระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จําเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายได้กระทําความผิดต่อกฎหมายด้วยการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์

กล่าวคือ จําเลยในฐานะกรรมการ กสทช. และประธานคณะอนุกรรมการพิจารณา อนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ซึ่งทราบดีอยู่แล้วว่า บริการประเภทโอทีทีที่ให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตสาธารณะที่ไม่มีการบริหารจัดการโครงข่ายเป็นการเฉพาะเป็นบริการที่ไม่ต้องขออนุญาตให้บริการ ประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์จาก กสทช. ตามประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และ วิธีการอนุญาตให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 อีกทั้ง กสทช. ก็ยังอยู่ระหว่าง ดําเนินการพิจารณาเกี่ยวกับการออกหลักเกณฑ์ในการควบคุมกํากับดูแลการให้บริการโอทีทีตามมติที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 7/2560 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 ระเบียบวาระที่ 6.2 เรื่อง หารือแนวทางการประกอบกิจการแพร่ภาพและเสียงโอทีทีที่มีมติให้คณะอนุกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์โอทีที โดยมีพันเอก ดร.นที ศุกลรัตน์ เป็นประธานอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์เร่งจัดทําร่างหลักเกณฑ์ในการกํากับดูแลกิจการโอทีทีเสนอต่อที่ประชุม กสทช. ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน เพื่อที่ที่ประชุม กสทช. จะได้พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนําร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าวไปรับฟังความคิดเห็นสาธารณะตามขั้นตอน ของกฎหมายให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน และนําเสนอต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะนําไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

คำพิพากษาจำคุก  "พิรงรอง"  2 ปี คดี True ID ฉบับเต็ม

 

 

 

พฤติการณ์จำเลย 

ปัจจุบัน กสทช. ก็ยังไม่มีการออก ประกาศกําหนดหลักเกณฑ์ในการกํากับดูแลกิจการโอทีทีแต่อย่างใด จําเลยกลับปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบเจตนาจงใจกลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย

 

โดยเมื่อระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2566 จําเลยอาศัยอํานาจในฐานะกรรมการ กสทช. และประธานอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์สั่งการหรือดําเนินการให้คณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์มีมติเห็นชอบตามการโน้มน้าวหรือความเห็นของจําเลย และจําเลยยังเป็นผู้สั่งการ ติดตาม เร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ของสํานักงาน กสทช. จัดทําและส่งหนังสือแจ้งไปยังผู้ให้บริการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. ทุกราย โดยมีเจตนาเจาะจงให้ผู้ให้บริการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ทราบว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชัน True ID ได้มีการให้บริการที่เข้าข่ายลักษณะเป็น การรวบรวมช่องรายการต่าง ๆ มาให้บริการแก่ประชาชนในประเทศไทย แต่ยังมิได้เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เนื่องจากโจทก์ยังไม่ได้แสดงความประสงค์จะขอรับใบอนุญาตตามขอบเขตการให้บริการประเภทโครงข่ายไอพีทีวี ตามหนังสือของสํานักงานกสทช. ที่ สทช 230/ว 8385 ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ (ที่ถูก มีนาคม) 2566 การปฏิบัติหน้าที่ของจําเลยในการสั่งการหรือดําเนินการดังกล่าวไม่ใช่การใช้อํานาจหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต

แต่จําเลยได้กระทําการในลักษณะที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาพิเศษในการใช้อํานาจหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่สุจริต มีอคติต่อโจทก์ และต้องการให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อมาวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 สํานักงาน กสทช. ได้มีหนังสือแจ้งมติคณะอนุกรรมการไปยัง ผู้รับใบอนุญาต ให้บริการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ว่า มีการตรวจพบว่าการให้บริการของผู้รับใบอนุญาตมีการเผยแพร่ผ่านโครงข่ายที่ไม่ได้เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์เพื่อให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์โดยเฉพาะผ่านอินเทอร์เน็ต

โดยข้อความตามหนังสือของสํานักงาน กสทช. ฉบับดังกล่าวเป็นไปตามมติของคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ครั้งที่ 3/2566 ที่มิได้มีการระบุถึง การให้บริการแอปพลิเคชัน True ID ของโจทก์

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวมณีรัตน์ กําจรกิจการ ซึ่งเป็นเลขานุการคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ได้ประชุมร่วมกับผู้รับใบอนุญาตให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เนื่องจากหนังสือของสํานักงาน กสทช.ฉบับลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ที่แจ้งมติของคณะอนุกรรมการดังกล่าวข้างต้นไม่ชัดเจนและก่อให้เกิดความสับสนแก่ผู้รับใบอนุญาต ซึ่งนางสาวมณีรัตน์ได้ชี้แจงที่ประชุมผู้รับใบอนุญาตมีสาระสําคัญว่า การให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์มีเงื่อนไขที่ออกตามประกาศว่าด้วยการให้บริการกระจายเสียงโทรทัศน์หรือที่เรียกว่าประกาศช่องรายการกับประกาศว่าด้วยการให้บริการโครงข่ายโดยผู้รับใบอนุญาตช่องจะต้องออกอากาศช่องตัวเองบนโครงข่ายที่ได้รับใบอนุญาตและโครงข่ายที่ได้รับใบอนุญาตจะต้องนําช่องที่ได้รับใบอนุญาตมาออกอากาศเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันมีการนําช่องไปออกอากาศผ่านทางโครงข่ายต่าง ๆ และยังมีการนําไปออกอากาศ ผ่านทางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตในหลายรูปแบบ

แต่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ก็ยังมิได้ลงมติการดําเนินการลักษณะดังกล่าวว่าจะเข้าเกณฑ์หรือเข้าข่ายที่ต้องขอรับใบอนุญาตหรือไม่ และเตรียมเสนอในกรอบนโยบาย แนวทางกลไกในการที่จะต้องเข้ากํากับหรือไม่กํากับในเรื่องนี้ จะมีหรือไม่อย่างไร โดยมีการพิจารณาโอทีทีหนึ่งในรูปแบบข้างต้นว่ายังไม่อยากใช้คําว่ากํากับ เนื่องจากในตอนนี้อยู่ระหว่างทําหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้อยู่ซึ่งในปีนี้น่าจะมีการออกกฎเกณฑ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ออกมา และยังไม่สามารถกําหนดว่าโอทีทีเป็นโครงข่ายหรือเป็นผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ มติคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 3/2566 มิได้เจาะจงการให้บริการกล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (Internet TV Box) และแอปพลิเคชัน True ID ของโจทก์เป็นการเฉพาะ

แต่ปรากฏว่า ในคราวประชุมคณะอนุกรรมการครั้งที่ 4/2566 วันที่ 2 มีนาคม 2566 จําเลยเป็นผู้เริ่มให้ฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการ ชี้แจงว่า เพราะเหตุใดจึงไม่มีการระบุการให้บริการ True ID ของโจทก์ ลงไปในหนังสือของ สํานักงาน กสทช. ฉบับลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 โดยอ้างว่าที่ประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 3/2566 เป็นการพิจารณาเรื่องของ True ID และมติก็มีการระบุ True ID โดยชัดเจน ซึ่งการไม่ระบุดังกล่าวทําให้ผู้ให้บริการโทรทัศน์มีความสับสน

ฝ่ายเลขานุการจึงได้ชี้แจงต่อจําเลยว่าเนื่องจากขณะนี้การกําหนดลักษณะและประเภทการให้บริการในรูปแบบของการรวมรายการหรือ ช่องสัญญาณต่าง ๆ มาให้บริการยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่เป็นที่ยุติมาบังคับใช้โดยชัดแจ้ง ประกอบกับปัจจุบันมีผู้ให้บริการที่มีรูปแบบและลักษณะเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอยู่เป็นจํานวนมาก

ดังนั้นจึงได้มีการแจ้งไปยังผู้ประกอบกิจการที่อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของ กสทช. ในลักษณะของ ภาพกว้าง ภายหลังจากจําเลยรับทราบคําชี้แจงของฝ่ายเลขานุการแล้ว จําเลยก็ยังคงยืนยันที่จะให้สํานักงาน กสทช. มีหนังสือแจ้งผู้ให้บริการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ทุกรายโดยเฉพาะการให้บริการแอปพลิเคชัน True ID ของโจทก์ว่า ยังไม่ได้เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์และยังมิได้แสดงความประสงค์ขอรับใบอนุญาตตามขอบเขตการ ให้บริการประเภทโครงข่ายไอพีทีวีทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงจําเลยก็ทราบดีว่า ที่ประชุม คณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 3/2566 ไม่ได้มีการลงมติให้ระบุเกี่ยวกับการให้บริการแอปพลิเคชันTrue ID ของโจทก์ ในหนังสือแจ้งไปยังผู้ให้บริการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ แต่อย่างใด

นอกจากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและข้อกล่าวอ้างของจําเลยดังกล่าวจําเลยยังได้ดําเนินการให้มีการแก้ไขข้อความในรายงานการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่่ 3/2566 ระเบียบวาระที่ 4.12 โดยเพิ่มเติมเนื้อหาหรือข้อความของมติคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ให้ครอบคลุมถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการให้บริการแอปพลิเคชัน True ID ของโจทก์ ทั้ง ๆ ที่ ในคราวประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ครั้งที่ 3/2566 ไม่ได้มีมติให้สํานักงาน กสทช.ทำหนังสือไปยังผู้ให้บริการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาหรือข้อความระบุถึงการให้บริการแอปพลิเคชันTrue ID ของโจทก์ดังกล่าว ตามรายงานการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการ โทรทัศน์ ครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2566

การกระทําของจําเลยแสดงให้เห็นว่าจําเลยมีเจตนาจงใจที่จะให้สํานักงาน กสทช. มีหนังสือแจ้งไปยังผู้ให้บริการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ทุกรายทราบเกี่ยวกับการให้บริการแอปพลิเคชัน True ID ของโจทก์เพียงรายเดียวว่า ยังไม่ได้เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์และยังมิได้แสดงความประสงค์ขอรับใบอนุญาตตามขอบเขตการให้บริการประเภทโครงข่ายไอพีทีวี

พูดโน้มน้าว-แสดงความคิดเห็นในที่ประชุม


โดยจําเลยได้พูดโน้มน้าวและแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมคณะอนุกรรมการ พิจารณาอนุญาต ด้านกิจการโทรทัศน์เพื่อให้อนุกรรมการบุคคลอื่นเชื่อหรือคล้อยตามความคิดเห็นของจําเลยที่ต้องการให้สํานักงาน กสทช. มีหนังสือแจ้งไปให้ผู้ให้บริการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือ โทรทัศน์ทุกรายโดยระบุเจาะจงเกี่ยวกับการให้บริการแอปพลิเคชัน True ID ของโจทก์เพียงรายเดียวว่า โจทก์ยังไม่ได้เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์และ ยังมิได้แสดงความประสงค์ขอรับใบอนุญาตโดยแจ้งไปยังผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงเท่านั้น จะไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ

โดยวิธีการเช่นนี้ โจทก์ให้คําจํากัดความว่า “ตลบหลัง” ทั้ง ๆ ที่กรรมการท่านอื่นรวมถึงฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการไม่ได้เห็นพ้องด้วยกับความต้องการ ของจําเลย และจําเลยยังใช้ถ้อยคําที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่จะล้มกิจการของโจทก์เป็นการเฉพาะ ดังที่ปรากฏถ้อยคําสนทนาในหน้าที่ 26 ที่จําเลยพูดว่า “ศ.พิรงรอง (จําเลย) : ...วิธีการที่เราจะ อ่า Enforce เรื่องนี้นะพี่ยะ Enforce เรื่องนี้เราไม่ได้ไปทําที่ตัวทรูนะ เราไปทําที่ช่องรายการนะ ช่องรายการที่รับใบอนุญาตจากเราที่จะถูก Carry บน Must carry ซึ่งมันมีเงื่อนไขท้ายใบอนุญาต ไว้อย่างชัดเจนว่าคุณจะต้องถูกส่งเนื้อหาคุณเนี่ยให้ขึ้น Must carry เนี่ยกับผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจากกสทช. เท่านั้น ในเมื่อ True ID ไม่ได้อยู่ ไม่ได้เป็นผู้รับใบอนุญาตค่ะ อันนี้มันเหมือนว่ามัน Clear cut นะ มัน Clear cut ว่าก็คุณไม่ได้รับใบอนุญาตค่ะ คุณ define ตัวเองเป็น OTT อ่ะ  เพราะฉะนั้น เพราะฉะนั้นเราก็ เราเราตลบ เราตลบหลังเราไม่ได้ไปบอกให้ True ID มา Register กับเรานะ

แต่เราแค่ไปบอกคนที่เป็นช่องรายการ บอกว่า เห้ย คุณกําลังทําผิดเงื่อนไขใบอนุญาต เพราะคุณปล่อยให้ Must carry ไปโดย โดยเนี้ย โดยผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตนะแล้วคุณก็ต้องไปตามหา เอาอ่ะว่า เห้ยอ้าว ไม่ได้รับอนุญาตเหรอ แล้วไม่มีสิทธิ Must carry คุณจะไปเรียกเงินกันไหมละ หรือ คุณจะไปขายลิขสิทธิ์กัน หรืออะไรยังไง แต่จริง ๆ แล้ว มันทําไม่ได้นะ เออ ตามกฎ ตามกฎหมาย มันทําไม่ได้เพราะเราบอกแล้วว่าคุณต้อง เพราะฉะนั้นทรูเขาก็ต้องมานั่งพิจารณาแล้วล่ะว่า คุณจะเข้าสู่ระบบหรือเปล่า คุณจะได้ Must carry ได้ ถ้าคุณยังจะ Carry ต่อไป

หมายความว่าวิธี วิธีการ เราไป Enforce กับผู้ที่อยู่ใน เป็น Licensee ของเราเนี่ย เราไม่ได้ไปบอกทรู เห้ยคุณ คุณมาเข้านะ อ่า เราไม่ได้บอก เราไม่บอกเลย เราไม่บอก True ID เราบอกว่าไอพวกผู้ที่รับใบอนุญาตเราเนี่ย เอ้อ คุณทําผิดเงื่อนไข เพราะว่าคุณไปปล่อยให้เนื้อหาคุณไปออกในที่ที่ไม่ควรจะออก”

อีกทั้งก่อนจบการประชุมของคณะอนุกรรมการในครั้งดังกล่าว จําเลยยังได้พูดสรุปให้ผู้เข้าร่วมประชุม ทุกคนเตรียมความพร้อมหรือหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาเพื่อใช้ในการประชุมครั้งต่อไป โดยมีเจตนาที่จะล้มหรือระงับการให้บริการแอปพลิเคชัน True ID ของโจทก์ ดังปรากฏตามข้อความสนทนาในหน้าที่ 45 มีเนื้อหาว่า “เดี๋ยวคราวหน้ามาลองเตรียมตัวกันก่อนนะ ต้องเตรียมตัวจะจะล้มยักษ์” การที่จําเลยพูดถ้อยคําดังกล่าว แสดงให้เห็นเจตนาว่าต้องการที่จะล้มกิจการหรือทําให้โจทก์ไม่สามารถประกอบกิจการได้ จําเลยจึงมีอคติ ความไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส และเจตนาในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของจําเลย

ต่อมา นางรมิดา ลีละพตะ ได้ลงนามในหนังสือของ สํานักงาน กสทช. เกี่ยวกับโจทก์ไปยังผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ 127 ราย ตามคําสั่งการหรือดําเนินการของจําเลย

การกระทําของจําเลยจึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เหตุเกิดที่สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร และแขวงห้วยขวางเขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องกัน ขอให้ลงโทษจําเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องจำเลยให้การปฏิเสธ

พิเคราะห์ทางไต่สวนพยานโจทก์และจําเลยแล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจํากัด ประกอบกิจการให้บริการอุปกรณ์ บริการเชื่อมต่ออุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดทุกประเภทผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โจทก์เป็นผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน True ID มาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน โดยแอปพลิเคชัน True ID เป็นการให้บริการประเภทผ่านอินเทอร์เน็ตสาธารณะหรือโอทีที (Over The Top หรือ OTT) ที่ไม่มีการบริหารจัดการโครงข่ายเป็นการเฉพาะ (Non-Dedicated Managed Network) ซึ่งมีความแตกต่างจากการให้บริการโครงข่ายทางสาย (เคเบิล) และโครงข่ายไอพีทีวี (IPTV) เพราะบริการโอทีทีของ True  ID มีลักษณะเป็นเพียงแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มในการให้บริการออนไลน์ที่ประชาชนผู้ใช้บริการสามารถใช้แอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มดังกล่าว และเป็นการให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตสาธารณะของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วไปซึ่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ “กสทช.” ไม่เคยกําหนดให้ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มดังกล่าวต้องขอรับใบอนุญาตจาก กสทช. แต่อย่างใด

 

ส่วนการให้บริการโครงข่ายทางสาย (เคเบิล) เป็นการส่งสัญญาณรายการโทรทัศน์ไปถึงผู้ชมทางบ้านผ่านสายเคเบิลแทนการส่งสัญญาณทางอากาศ และการให้บริการโครงข่ายไอพีทีวี (Internet Protocol Television)คือ การส่งสัญญาณรายการโทรทัศน์ผ่านระบบโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีการบริหารจัดการโครงข่ายเป็นการเฉพาะ (Dedicated Managed Network) ซึ่งแตกต่างจากบริการของโอทีทีที่ใช้ระบบโครงข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะ เข้าสู่กล่องรับสัญญาณของผู้ให้บริการโทรทัศน์แต่ละรายและผู้ใช้บริการจะเข้าถึงบริการไอพีทีวีได้ต้องใช้โครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีการบริหารจัดการ โครงข่ายเป็นการเฉพาะ รวมถึงมีกล่องรับสัญญาณของผู้ให้บริการดังกล่าวซึ่ง กสทช. ได้กําหนด หลักเกณฑ์ให้ผู้ให้บริการไอพีทีวีหรือเคเบิลต้องได้รับอนุญาตจาก กสทช. การให้บริการโอทีทีจึงไม่ต้องขออนุญาตและไม่อยู่ในบังคับของการให้บริการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ตามประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 จาก กสทช.

จําเลยเป็นกรรมการใน กสทช. มีอํานาจหน้าที่จัดทํา แผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ กําหนดการจัดสรรคลื่นความถี่ระหว่างคลื่นความถี่ที่ใช้ในกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม กําหนดลักษณะและประเภทของกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และจําเลยยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์มีอํานาจหน้าที่ให้ข้อเสนอแนะ ข้อพิจารณา กลั่นกรอง และ ให้ความเห็นเกี่ยวกับการอนุญาตและกํากับดูแลการประกอบกิจการโทรทัศน์ รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่อื่นใดตามที่ กสทช. มอบหมาย

จําเลยจึงเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 25

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัย


คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จําเลยกระทําความผิดตามฟ้อง หรือไม่ เห็นว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 จําเลยได้ทําหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม โดยมีวาระที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการตรวจสอบการแพร่เสียงแพร่ภาพผ่านการให้บริการกล่องรับสัญญาณ โทรทัศน์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (Internet TV Box) และแอปพลิเคชัน True ID

 

โดยในที่ประชุมได้มีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับลักษณะหรือพฤติการณ์ในการให้บริการของTrue ID แต่ที่ประชุมยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ประกอบกับที่ประชุมเห็นว่า ปัจจุบันมีผู้ให้บริการ ในลักษณะโอทีที เช่นเดียวกับ True ID จํานวนมาก ซึ่งไม่ได้เป็นผู้รับใบอนุญาตและไม่ได้รับการกํากับดูแลจาก กสทช. หากไม่ทําการศึกษาแนวทางการพิจารณาหรือตรวจสอบลักษณะการดําเนินการของผู้ให้บริการแต่ละรายให้ละเอียดรอบคอบและครอบคลุมก่อนนําเอาประเด็นลักษณะของการให้บริการของ True ID มาพิจารณาเพียงรายเดียวอาจส่งผลต่อการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ในอนาคตได้ และอาจมีประเด็นอื่น ๆ ที่บริษัททรู ดิจิทัล กรุ๊ป จํากัด สามารถยกมาเป็นข้อกล่าวอ้างได้

พิรงรอง รามสูต

 

ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติมอบหมายให้สํานักงาน กสทช. ทําการศึกษาแนวทางการพิจารณาลักษณะการแพร่เสียงแพร่ภาพผ่านแอปพลิเคชัน True ID ของโจทก์ รวมถึงการให้บริการอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกันให้ละเอียดรอบคอบและครอบคลุมก่อนนําเสนอต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการ พิจารณาอีกครั้ง และเห็นควรมีหนังสือแจ้งผู้ให้บริการกระจายเสียง หรือโทรทัศน์ปฏิบัติตามข้อ (23) ของประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาต ให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 และเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ตามรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ เอกสารหมาย จ.10

แสดงให้เห็นว่า ในการประชุมของคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาต ด้านกิจการโทรทัศน์ คราวดังกล่าวยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการให้บริการ True ID ของโจทก์ว่า จะต้องขอรับใบอนุญาตจาก กสทช. หรือไม่ อย่างไร ประกอบกับตามเอกสารหมาย จ.21 ซึ่งเป็นผลการวิจัยเรื่องโครงการศึกษาผลกระทบของโอทีที ต่อกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์และแนวทางการส่งเสริมและกํากับดูแลที่จําเลยเป็นหนึ่งในคณะผู้วิจัยและจัดทําขึ้นในปี 2563

ก่อนที่จําเลยจะได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ กสทช. มีข้อมูลระบุว่า บริการ True ID ของโจทก์ เป็นบริการโอทีทีและยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับกฎหมายในการกำกับดูแลการประกอบกิจการดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับคําชี้แจงข้อเท็จจริงของสํานักงาน กสทช. ที่ยื่นต่อศาลในคดีนี้ว่า กสทช.ยังไม่ได้มีการประกาศกําหนดนิยามของคําว่า “Over The Top” หรือ (โอทีที) ไว้เป็นการเฉพาะ โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางในการกํากับดูแล

กรณีจึงรับฟังได้ว่า เมื่อ กสทช. ยังไม่ได้ ประกาศกําหนดหลักเกณฑ์ในการควบคุมกํากับดูแลการประกอบกิจการโอทีที การให้บริการ True ID ของโจทก์ซึ่งเป็นบริการโอทีทีจึงเป็นการให้บริการที่ไม่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบ กิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ และจําเลยทราบดีอยู่แล้ว ปรากฏว่า ภายหลังการประชุม คณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ครั้งที่ 3/2566 สํานักงาน กสทช.ได้ปฏิบัติตามมติของคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ โดยการมีหนังสือเรื่อง การออกอากาศช่องรายการผ่านโครงข่ายที่ไม่ได้เป็นผู้รับใบอนุญาต ฉบับลงวันที่24 กุมภาพันธ์ 2566 แจ้งไปยังผู้รับใบอนุญาตให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ ตามเอกสาร หมาย จ.11 ซึ่งมีเนื้อหาเป็นไปตามรายงานการประชุมและมติของที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์เอกสารหมาย จ.10 ต่อมาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566

ฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการก็ได้มีการประชุมร่วมกับผู้รับใบอนุญาตให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์เพื่อทําความเข้าใจเกี่ยวกับเจตนารมณ์ วัตถุประสงค์ และแนวทางปฏิบัติ ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.11 แล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุผลและความจําเป็นที่จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมหรือจัดทํา หนังสือของสํานักงานกสทช. ฉบับใหม่ที่มีข้อความระบุถึงการให้บริการ True ID ของโจทก์ว่าเป็นการประกอบกิจการโดยไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์

แต่ปรากฏว่าในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 นายชาญณรงค์ มหาราต และนายยิ่งศักดิ์ บุญธรรมเจ้าหน้าที่ฝ่ายเลขาฯ คณะอนุกรรมการได้จัดทําบันทึกและร่างหนังสือของสํานักงานกสทช. ตามเอกสารหมาย ล.5 เสนอเข้าสู่ระบบงานสารบัญทางคอมพิวเตอร์ของสํานักงาน กสทช. ให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาตามขั้นตอน และเสนอให้ นางรมิดา ลีลาพตะ ผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมการแข่งขันและกํากับดูแลกันเอง รักษาการแทนรองเลขาธิการ ปฏิบัติการแทนเลขาธิการ กสทช.ในขณะนั้นลงนาม

โดยก่อนที่จะมีการนําเสนอให้ นางรมิดาลงนาม เอกสารดังกล่าวได้ผ่านการกลั่นกรองของนางกรกนก ชายพรม ซึ่งทําหน้าที่กลั่นกรองงานให้แก่รองเลขาธิการ กสทช.ทําให้นางกรกนกได้สอบถามเหตุผลและความจําเป็นในการทําบันทึกและร่างหนังสือของสํานักงานกสทช. ดังกล่าวจากนายชาญณรงค์ ซึ่งได้รับแจ้งจากนายชาญณรงค์ว่า จําเลยเป็นผู้สั่งการและเร่งรัดให้จัดทําบันทึกและร่างหนังสือดังกล่าว หลังจากนั้น นางกรกนกจึงแจ้งให้นางรมิดาทราบซึ่งนางกรกนกและนางรมิดาก็ได้มาเบิกความเป็นพยานยืนยันข้อเท็จจริงต่อศาลว่าจําเลยเป็นผู้สั่งการและเร่งรัดให้จัดทําหนังสือตามเอกสารหมาย จ.6 ต่อมาวันที่ 2 มีนาคม 2566 มีการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ครั้งที่ 4/2566 ซึ่งจําเลย ได้ทําหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ตามบันทึกภาพและเสียงของการประชุมเอกสารหมาย จ.14 จําเลยได้มีการต่อว่าและตําหนิฝ่ายเลขานุการที่มีการจัดทําหนังสือตามเอกสารหมาย จ.11 โดยไม่ได้ระบุหรือเจาะจงถึงการให้บริการ True ID ของโจทก์ ซึ่งฝ่ายเลขานุการได้ชี้แจงเหตุผลและความจําเป็นในการจัดทําหนังสือตามเอกสารหมาย จ.11 ให้จําเลยรับทราบแล้ว และที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ในวันดังกล่าวไม่ได้มีมติให้แก้ไขรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ครั้งที่ 3/2566รวมทั้งไม่ได้มีมติให้สํานักงาน กสทช. จะต้องมีหนังสือแจ้งไปยังผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ กระจายเสียงและโทรทัศน์โดยระบุเจาะจงถึงบริการ True ID ของโจทก์อีกครั้ง แต่ตามบันทึก รายงานการประชุมเอกสารหมาย จ.13 กลับมีการระบุว่าที่ประชุมมีมติรับรองรายงานการประชุมครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 โดยมีข้อแก้ไขระเบียบวาระที่ 4.1.2

โดยเพิ่มข้อความในข้อ 3 ว่า “เห็นควรมีหนังสือแจ้งผู้ให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ ปฏิบัติ ตามข้อ 14 (23) ของประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียง หรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 และเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าปัจจุบันการให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ต และแอปพลิเคชัน True ID ของ บริษัททรู ดิจิทัล กรุ๊ป จํากัด ได้มีการให้บริการที่เข้าข่ายลักษณะเป็นการรวบรวมช่องรายการ ต่าง ๆ มาให้บริการแก่ประชาชนในประเทศไทย แต่ยังมิได้เป็นผู้รับใบอนุญาตให้บริการโครงข่าย กระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เนื่องจากผู้ให้บริการยังมิได้แสดงความประสงค์จะขอรับใบอนุญาต ตามขอบเขตการให้บริการ ประเภทโครงข่ายไอพีทีวี”

 

ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงการประชุม คณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ครั้งที่ 3/2566 ที่ประชุมไม่ได้มีมติ ดังกล่าวแต่อย่างใด อันเป็นการทําเอกสารรายงานการประชุมอันเป็นเท็จ ซึ่งจําเลยก็ทราบ เป็นอย่างดี ปรากฏว่าหลังจากนั้นในคราวประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการ โทรทัศน์ ครั้งที่ 5/2560 เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566 จําเลยก็ได้ร่วมประชุมและมีมติรับรอง รายงานการประชุมอันเป็นเท็จดังกล่าว พยานหลักฐานในทางไต่สวนจึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจําเลยเป็นผู้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์จัดทําบันทึกและหนังสือตามเอกสารหมาย จ.6 เพื่อให้นางรมิดาซึ่งรักษาการรองเลขาธิการ กสทช. ในขณะนั้นลงนามในหนังสือดังกล่าวแจ้งถึงผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ ประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ 127 ราย

มีข้อความว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบการ ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ทําให้ผู้รับใบอนุญาตให้บริการ กระจายเสียงหรือโทรทัศน์เข้าใจว่า โจทก์เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ นอกจากนี้จําเลยในฐานะ ที่เป็นคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ย่อมทราบดีว่า จําเลยมีหน้าที่จะต้องนํามติในที่ประชุมของคณะอนุกรรมการดังกล่าวเสนอต่อ กสทช. เพื่อพิจารณามีความเห็น ดําเนินการต่อไปตามขอบเขตอํานาจหน้าที่ที่ระบุไว้ในคําสั่งแต่งตั้งเอกสารหมาย จ.5 แต่จําเลยหาได้ปฏิบัติตามอํานาจหน้าที่ไม่

เมื่อพิจารณาประกอบกับถ้อยคําที่จําเลยได้กล่าวในการประชุม คณะอนุกรรมการดังกล่าว ครั้งที่ 3/2566 ที่ใช้ถ้อยคําว่า วิธีการที่เราจะ อ่า Enforce เรื่องนี้นะ พี่ยะ Enforce เรื่องนี้เราไม่ได้ไปทําที่ตัวทรูนะ เราไปทําที่ช่องรายการนะ ช่องรายการที่รับ ใบอนุญาตจากเราที่จะถูก Carry บน Must carry ซึ่งมันมีเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตไว้อย่างชัดเจนว่า คุณจะต้องถูกส่งเนื้อหาคุณเนี่ยให้ขึ้น Must carry เนี่ยกับผู้ที่ได้รับอนุญาตจาก กสทช. เท่านั้นในเมื่อ True ID ไม่ได้อยู่ ไม่ได้เป็นผู้รับใบอนุญาตค่ะ อันนี้มันเหมือนว่ามัน Clear cut นะมัน Clear cut ว่าก็คุณไม่ได้รับใบอนุญาตค่ะ คุณ defineตัวเองเป็น OTT อ่ะ เพราะฉะนั้นเพราะฉะนั้นเราก็ เราเราตลบ เราตลบหลัง เราไม่ได้ไปบอกให้ True ID มา Register กับเรานะ

แต่เราแค่ไปบอกคนที่เป็นช่องรายการ บอกว่า เห้ย คุณกําลังทําผิดเงื่อนไขใบอนุญาตเพราะคุณปล่อยให้ Must carry ไปโดย โดยเนี้ย โดยผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตนะแล้วคุณก็ต้องไปตามหาเอาอ่ะ

ว่า เห้ยอ้าว ไม่ได้รับอนุญาตเหรอ แล้วไม่มีสิทธิ Must carry คุณจะไปเรียกเงินกันไหมละ หรือ คุณจะไปขายลิขสิทธิ์กัน หรืออะไรยังไง แต่จริง ๆ แล้ว มันทําไม่ได้นะ เออ ตามกฎ ตามกฎหมาย มันทําไม่ได้เพราะเราบอกแล้วว่าคุณต้อง เพราะฉะนั้นทรูเขาก็ต้องมานั่งพิจารณาแล้วล่ะว่า คุณจะเข้าสู่ระบบหรือเปล่า คุณจะได้ Must carry ได้ ถ้าคุณยังจะ Carry ต่อไป หมายความว่าวิธี วิธีการเราไป Enforce กับผู้ที่อยู่ใน เป็น Licensee ของเราเนี่ย เราไม่ได้ไปบอกทรู เห้ยคุณ คุณมาเข้านะ อ่า เราไม่ได้บอก เราไม่บอกเลย เราไม่บอก True ID เราบอกว่าไอพวกผู้ที่รับ

ใบอนุญาตเราเนี่ย เอ้อ คุณทําผิดเงื่อนไข เพราะว่าคุณไปปล่อยให้เนื้อหาคุณไปออกในที่ที่ไม่ควรจะออก

ข้อความดังกล่าวพอจะอนุมานได้ว่า เมื่อ กสทช. แจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาต ว่า True ID ไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่ประสงค์ขอใบอนุญาตสิ่งที่ตามมาคือผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตจะตกอยู่ในความวิตกกังวลว่า การที่นําเอาช่องที่ Must carry(Must carry หมายถึงหลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการทั่วไปโดยบังคับให้แพลตฟอร์มบริการที่ได้รับใบอนุญาตนําช่องฟรีทีวีไปออกอากาศในทุกช่องทาง เช่น เสาอากาศเคเบิลแม้กระทั่งออนไลน์)ไปออกอากาศในช่องที่ไม่ได้รับใบอนุญาตมันจะเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่

โดยจำเลยคาดหวังว่าผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตจะไปไล่เบี้ยเอากับโจทก์ หรือ เพื่อกดดันให้โจทก์ เข้าสู่ระบบที่ผู้ประกอบการต้องขอรับใบอนุญาต เป็นการใช้อํานาจหน้าที่ฝ่าฝืน ต่อกฎหมายและระเบียบชัดแจ้ง อีกทั้งจําเลยย่อมเล็งเห็นว่า ทางออกสําหรับโจทก์ในเรื่องนี้ มีไม่มากนัก หากจะซื้อขายหรือโอนลิขสิทธิ์ก็ไม่อาจทําได้เพราะฝ่าฝืนกฎหมายชัดแจ้ง ดังนั้น แนวทางที่จําเลยดําเนินการ ส่งผลกระทบต่อกิจการของโจทก์มากมาย อันเป็นที่มาของคําว่า “ตลบหลัง” “ และคําว่า “ล้มยักษ์”

จําเลยก็ยอมรับว่า คําว่า “ยักษ์” หมายถึงโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ ถ้อยคําดังกล่าวเป็นการสื่อความหมายชัดเจนว่า จําเลยมีความประสงค์ ให้กิจการของโจทก์ได้รับความเสียหาย

สอดคล้องกับที่จําเลยได้กล่าวในที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ โดยแสดงความต้องการให้มีการระบุถึงการให้บริการ True ID ของโจทก์ในหนังสือที่สํานักงาน กสทช. แจ้งไปยังผู้ให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายเลขานุการได้ทักท้วงหรือคัดค้านในเรื่องดังกล่าวแล้ว เมื่อการกําหนดลักษณะและประเภทของกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เป็นอํานาจหน้าที่ของกสทช. โดยตรง ตามที่พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 27 (3) (4) บัญญัติไว้ ซึ่งจําเลยเองเป็นผู้ได้รับแต่งตั้งจาก กสทช. ให้เป็นประธานอนุกรรมการศึกษารายละเอียดและพิจารณาออกหลักเกณฑ์ในการกํากับดูแลในเรื่องนี้ แทนที่จําเลยจะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่ได้รับมอบหมายและแต่งตั้งตามกรอบอํานาจหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรมและเป็นกลาง

แต่จําเลยกลับใช้อํานาจหน้าที่ของตนชี้นํา กดดันและบงการให้กระทําการดังกล่าวข้างต้น พฤติการณ์ของจําเลยดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ เจตนามุ่งประสงค์กลั่นแกล้งโจทก์ และใช้อํานาจหน้าที่ของตนไม่เป็นไป

 

ข้อต่อสู้จำเลย

 
ส่วนที่จําเลยให้การต่อสู้ในทํานองว่า จําเลยไม่สามารถชี้นําหรือโน้มน้าวอนุกรรมการได้ และมติคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์เป็นไปตามความเห็นของอนุกรรมการทุกคน

จําเลยไม่ได้สั่งการ ติดตาม เร่งรัดให้เจ้าหน้าที่สํานักงาน กสทช. จัดทําและส่งหนังสือแจ้งไปยังผู้ให้บริการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ที่ได้รับใบอนุญาต

จําเลยมิได้ให้แก้ไขรายงานการประชุมครั้งที่ 3/2566

จําเลยไม่ได้พูดถ้อยคําว่า ตลบหลัง ล้มยักษ์ ระหว่างการประชุม จําเลยพูดถ้อยคําดังกล่าว หลังการประชุมเป็นเพียงการเปรียบเปรยไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ จําเลยไม่ได้เป็นผู้ทํา หนังสือแจ้งไปยังผู้รับใบอนุญาตให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ ตามเอกสารหมาย จ.6 และ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายจากหนังสือดังกล่าว โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย เห็นว่า ศาลได้วินิจฉัยดังกล่าวไปแล้วข้างต้น และจําเลยให้การต่อสู้ลอย ๆ ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏ และพฤติการณ์ของจําเลย ข้อต่อสู้และพยานหลักฐานของจําเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์

คดีจึงฟังได้ว่าจําเลยกระทําความผิดตามฟ้อง ปัญหาอื่นนอกจากนี้ไม่จําต้องวินิจฉัย เนื่องจากไม่มีผลให้คําพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป

พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

จําคุก 2 ปี

คำพิพากษาจำคุก  "พิรงรอง"  2 ปี คดี True ID ฉบับเต็ม

 

 

ภายหลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี  ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ได้ยื่นขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี โดยศาลให้ประกันตัว ด้วยหลักประกันวงเงิน 1.2 แสนบาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล ขณะที่เครือข่ายกลุ่มนักวิชาการ มหาวิทยาลัยต่างๆ ออกมาแถลงการณ์ให้กำลังใจ สนับสนุนการทำหน้าที่ กสทช. ของ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ต่อไป จำนวนมาก.

ที่มา : สำนักข่าวอิศรา