ส.อ.ท.ตั้งเป้าผลิตรถปี 68 จำนวน 1.5 ล้านคัน จยย. 2.1 ล้านคัน

28 ม.ค. 2568 | 15:39 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ม.ค. 2568 | 15:51 น.

กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.ตั้งเป้าหมายยอดผลิตรถยนต์ไทย 1.5 ล้านคัน ส่วนรถจักรยานยนต์ 2.1 ล้านคัน ส่องปัจจัยหนุน-ปัจจัยเสี่ยงกระทบอุตฯปี 2568 ที่นี่

กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ในปี 2568 โดยระบุว่าปีนี้ได้ตั้งเป้าผลิตรถยนต์ 1,500,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.11 ส่วนรถจักรยานยนต์ได้ตั้งเป้าผลิต 2,100,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.28 


เป้าหมายการผลิตรถยนต์-รถจักรยานยนต์ ปี 2568


ยอดผลิตรถยนต์ปี 2568 จำนวน 1,500,000 คัน แบ่งเป็น

  • ขายในประเทศ จำนวน 500,000 คัน
  • ส่งออกตลาดต่างประเทศ จำนวน 1,000,000 คัน 

ยอดผลิตรถจักรยานยนต์ จำนวน 2,100,000 คัน แบ่งเป็น

  • ขายในประเทศ จำนวน 1,700,000 คัน
  • ส่งออกตลาดประเทศ จำนวน 400,000 คัน 


นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาจำนวนรถยนต์ที่ผลิตตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,468,997 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 19.95 โดยแบ่งออกเป็น ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 459,856 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 33.09 ส่วนการผลิตเพื่อส่งออกทำได้  1,009,141 คัน ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 12.07

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์

ด้านยอดขายรถในประเทศปี 2567 ตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม 2567 รถยนต์มียอดขาย 572,675 คัน ลดลงจากปี 2566 ในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 26.18 โดยปัจจัยที่มีผลทำให้ยอดขายลดมาจากความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินจากหนี้ครัวเรือนสูง หนี้เสียรถยนต์ยังเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลงโดย ทำให้แรงงานมีอำนาจซื้อลดลง

 

อย่างไรก็ตามในปี 2568 ส.อ.ท.ได้ตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ที่จำนวน 1.5 ล้านคัน โดยมีปัจจัยบวกและปัจจัยลบดังต่อไปนี้ 

 

ส่องปัจจัยบวก-ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบกับยอดผลิต ยอดส่งออกและยอดขายรถยนต์ของไทยในปี 2568 

ปัจจัยบวกหนุนการผลิตเพื่อส่งออกรถยนต์ไทยปี 68 

  • ปัจจัยบวกระยะสั้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐอเมริกาไม่สูงมากนักอาจจะไม่กระทบมูลค่าการค้าโลกมากดังที่กังวลกันซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
  • อัตราดอกเบี้ยอาจลดลงและราคาน้ำมันอาจลดลงทำให้อำนาจซื้อของประเทศคู่ค้าสูงขึ้นส่งผลให้การส่งออกดีขึ้น ต้องติดตามว่าลดลงมากน้อยแค่ไหน
  • ติดตามสงครามในภูมิภาคต่างๆ ว่ายุติได้หรือไม่ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจใช้เงินของประชาชนในประเทศต่าง ๆ

ปัจจัยลบกระทบการส่งออกรถยนต์ไทยปี 68 

  • ความชัดเจนในมาตรการด้านการค้าและอื่น ๆ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่าจะขึ้นภาษีากรนำเข้าอีกมากน้อยแค่ไหน
  • คู่แข่งในประเทศคู่ค้ามีมากขึ้น
  • ประเทศคู่ค้ามีการผลิตรถกระบะซึ่งอาจลดคำสั่งซื้อและอาจส่งออกแทนประเทศไทยจากการผลิตรถกระบะลดลง
  • ความขัดแย้งและการสู้รบในภูมิภาคต่าง ๆ อาจขยายเพิ่มขึ้นทั้งภูมิภาคเดิมและภูมิภาคใหม่
  • มาตรการเข้มงวดการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ของประเทศคู่ค้าที่ทำให้รถยนต์บางรุ่นนำเข้าไม่ได้
     

ปัจจัยบวก หนุนยอดขายรถในประเทศปี 68 

  • การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าโครงการ EV 3.0 ในอัตรา 1.5 เท่า
  • เศรษฐกิจในประเทศขยายตัว 2.4-2.9%
  • คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากปี 2567
  • ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรรวมทั้งสินค้าอุตสาหกรรมบางกลุ่มขยายตัวเพิ่มขึ้น
  • การแจกเงินของรัฐบาลให้กลุ่มต่าง ๆ
  • การกระตุ้นเศรษฐกิจ e-Receipt
  • การลงทุนของภาครัฐ
  • ปี 2567 มีผู้ขอรับส่งเสริมการลงทุนในประเทศสูงถึง 1.12 ล้านล้านบาทสูงที่สุดในรอบสิบปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 จากปี 2566 โดยยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ 102,366 ล้านบาท
  • จะมีการลดดอกเบี้ยในประเทศซึ่งจะทำให้ต้นทุนและภาระการชำระหนี้ลดลงช่วยเพิ่มอำนาจซื้อในประเทศ
  • ราคาน้ำมันอาจลดลงจากการเรียกร้องของประธานาธิบดีสหรัฐซึ่งจะทำให้ภาระค่าใช้จ่ายและต้นทุนการดำเนินงานลดลง อำนาจซื้อของประชาชนมากขึ้น


ส่องปัจจัยบวก-ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบกับยอดผลิต ยอดส่งออกและยอดขายรถยนต์ของไทยในปี 2568

 

ปัจจัยลบ กระทบยอดขายรถในประเทศปี 68 

  • ความเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน เพราะมาตรการการปล่อยสินเชื่อแบบรับผิดชอบจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
  • ติดตามดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะยังคงลดลงหรือไม่เพราะมีสัดส่วนถึงร้อยละ 30 ของเศรษฐกิจในประเทศและมีแรงงานถึงร้อยละ 16 ของแรงงานทั้งหมดในประเทศไทยซึ่งเกี่ยวข้องกับอำนาจซื้อในประเทศ
  • สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนอาจจะไม่รุนแรงซึ่งจะทำให้การย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนมายังประเทศไทยชะลอตัวลงได้เพราะประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาซึ่งจะส่งผลกระทบการจ้างงานในประเทศไทย
  • หนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูงอาจจะส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
  • ค่าครองชีพยังทรงตัวในระดับสูงซึ่งจะส่งผลต่ออำนาจซื้อของประชาชน