วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยบทวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2568-2570 โดยระบุว่า ปริมาณการผลิตรถยนต์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่มีแนวโน้มคลี่คลายเมื่ออุปทานชิปเข้าสู่ตลาดโลกมากขึ้น ตามการลงทุนผลิตชิปที่ขยายตัว รวมถึงการผลิตรถยนต์ BEV ที่จะเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยยอดนำเข้ารถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศในช่วงก่อนหน้าภายใต้เงื่อนไขมาตรการสนับสนุน EV 3.0 และ 3.5
ขณะที่ปริมาณการส่งออกคาดว่าจะเติบโตขึ้น ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาวะกระเตื้องขึ้นของการลงทุนในประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะตลาดอาเซียน ASEAN ที่จะได้อานิสงส์จากการลงทุนขยายฐานการผลิตในภาคอุตสาหกรรมจากจีนและญี่ปุ่น เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงของผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะยังมีต่อเนื่อง
ด้วยปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้คาดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะมีปริมาณการผลิตขยายตัวในอัตรา 3.5-4.5% ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายในประเทศขยายตัว 4.0-5.0% และปริมาณการส่งออกขยายตัว 2.5-3.5% ต่อปี
ขณะที่แนวโน้มการดำเนินธุรกิจของตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ใหม่ หรือ ดีลเลอร์รถยนต์คาดว่าในช่วง 3 ปีข้างหน้ารายได้มีแนวโน้มกลับมาขยายตัว ตามยอดขายรถยนต์ในประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.0-5.0% ต่อปี ซึ่งปัจจัยสนับสนุนการเติบโตมาจาก
อย่างไรก็ตามการแข่งขันในตลาดก็อาจรุนแรงขึ้นจากการเข้าสู่ตลาดของค่ายรถยนต์รายใหม่ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ซึ่งอาจกดดันให้ดีลเลอร์บางรายเริ่มเปลี่ยนมาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
ด้านรายได้จากศูนย์ซ่อมบำรุงและจำหน่ายอะไหล่มีทิศทางปรับตัวลดลงตามการหดตัวของยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศนับตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 COVID-19 ทำให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่สะสมที่มีอายุไม่เกิน 5 ปีซึ่งเป็นตลาดหลักของบริการซ่อมบำรุงมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม รายได้จากการให้บริการรถยนต์ในกลุ่มรถยนต์นั่งและ SUV ที่มีราคาแพงและมีอายุน้อยกว่า 5 ปี ยังคงเติบโตได้ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
อนึ่ง"ฐานเศรษฐกิจ"รายงานว่าภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยในปี 2567 ยอดขายในประเทศคาดว่าปิดการขายอยู่ที่ประมาณ 5.7 แสนคัน ลดลง 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยยอดขายของกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า EV ทำได้ประมาณ 7 หมื่นคัน ลดลงจากปี 2566 ที่ทำได้ 76,314 คัน