สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ขยายวงขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ลงนามในคำสั่งบริหารฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 20% จากเดิม 10% (ที่มีผลแล้วตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 2568) โดยอ้างว่ารัฐบาลจีนยังไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอในการแก้ไขปัญหาการลักลอบขนส่งยาเสพติดสังเคราะห์ โดยเฉพาะเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐอเมริกา
ขณะที่จีนออกมาตอบโต้ทันควัน โดยกระทรวงการคลังจีนระบุ จะเก็บภาษีเพิ่มอีก 15% ในสินค้าเนื้อไก่ ข้าวสาลี และข้าวโพดที่นำเข้าจากสหรัฐ และเก็บเพิ่ม 10% ในสินค้าถั่วเหลือง ข้าวฟ่าง เนื้อหมู เนื้อวัว ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ผลไม้ ผัก และผลิตภัณฑ์นม โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคมเป็นต้นไป นอกจากนี้ยังเพิ่มบริษัทอเมริกัน 25 แห่งลงในบัญชีจำกัดการส่งออกและการลงทุน โดยระบุ 10 จาก 25 แห่งเป็นบริษัทที่มีการขายอาวุธให้ไต้หวัน ที่จีนถือเป็นดินแดนในอธิปไตยของจีน
รศ.สมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติ ให้ความเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การทำสงครามการค้าในยกใหม่ของสองชาติมหาอำนาจที่เป็นคู่ค้าอันดับต้น ๆ ของไทย แน่นอนว่าการขึ้นภาษีสินค้าตอบโต้กันในครั้งนี้ ย่อมมีผลกระทบต่อประเทศไทยทางอ้อม เฉพาะอย่างยิ่งการขึ้นภาษีสินค้าจากจีนของสหรัฐทั้งในสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเกษตร และอื่น ๆ จะส่งผลให้สินค้าจีนเข้าสหรัฐได้น้อยลงจากกำแพงภาษีสูง และสินค้าจะทะลักไปยังตลาดอื่น ๆ มากขึ้น เช่น ในเอเชีย อาเซียนซึ่งรวมถึงประเทศไทย และตลาดแอฟริกาที่ต้องการสินค้าราคาถูกมากขึ้น จากปัจจุบันสินค้าจีนก็ทะลักเข้ามามากอยู่แล้ว
ส่วนตลาดสหภาพยุโรป(อียู)ที่ เน้นเรื่องคุณภาพและมาตรฐานสินค้า และมีนโยบายกีดกันสินค้าจีน ก็จะมีการนำเข้าจากจีนลดลง ส่วนตลาดตะวันออกกลาง ก็จะมีทั้งประเทศที่มีความต้องการสินค้าราคาถูกจากจีน ส่วนประเทศที่มีกำลังซื้อสูง เช่น ซาอุดีอาระเบีย ก็จะมีบางส่วนที่ต้องการสินค้าราคาถูกและมีมาตรฐาน
สำหรับในสินค้าเกษตรที่ไทย-จีนมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกัน โดยในพิกัดศุลกากรตอนที่ 07-08 ในสินค้าผักและผลไม้ 116 รายการ ได้มีการลดภาษีนำเข้าระหว่างกันลงเป็น 0% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ส่งผลให้สินค้าผักและผลไม้ระหว่างไทย-จีนมีการส่งออก-นำเข้าระหว่างกันมากขึ้น โดยผลไม้ไทยที่ส่งออกไปจีนได้เพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมาอาทิ ทุเรียน มังคุด ลำไย เป็นต้น ขณะที่ผักและผลไม้จีนที่ส่งมาไทยเพิ่มขึ้น อาทิ คะน้า แอปเปิ้ล องุ่น ลำไย มะพร้าวน้ำหอม สาลี่ เป็นต้น ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ได้แข่งกับสินค้าที่ผลิตในประเทศของไทยโดยตรง แต่เป็นสินค้าทางเลือก
หากถามว่าการขึ้นภาษีสินค้าจีนของสหรัฐเป็น 25% ในครั้งนี้จะกระทบทำให้สินค้าเกษตรจีนทะลักเข้าไทยเพิ่มหรือไม่ อาจมีส่วนบ้าง แต่มองว่าคงไม่ใช่จากปัจจัยในส่วนนี้ทั้งหมด แต่การนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยจากจีนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมามีปัจจัยสำคัญจากการทำการเกษตรของจีนได้ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมเข้ามาช่วยบริหารจัดการ มีระบบการผลิตในรูปแบบโรงเรือนมากขึ้น ทำให้ผลิตสินค้าคราวละมาก ๆ มีต้นทุนต่อหน่วยต่ำ
นอกจากนี้ยังนำแพลตฟอร์มออนไลน์เข้ามาช่วยส่งเสริมการขาย ทำให้สินค้าเกษตรจีนมีโอกาสส่งเข้ามาขายในไทยได้เพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าเกษตรไทย เช่นผักผลไม้ต่าง ๆ การส่งออกไปจีนในแต่ละปีเพิ่มขึ้นไม่มาก จากยังมีการผลิตในรูปแบบและใช้แพลตฟอร์มเดิม ๆ ในการค้าขาย
“สินค้าจีนที่จะทะลักเข้าไทยมากขึ้นจากสหรัฐขึ้นภาษีจีนในครั้งนี้จะอยู่ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมมากกว่า เช่น รถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็ก เป็นต้น ขณะที่จีนจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าข้าวโพดและถั่วเหลืองที่ใช้ผลิตอาหารสัตว์จากสหรัฐ ซึ่งประเทศที่อาจได้รับอานิสงส์จากจีนนำเข้าสินค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ทดแทนสหรัฐ อาจเป็นประเทศบราซิล และประเทศในอเมริกาใต้ที่เป็นผู้ผลิตรายสำคัญ”