ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าจะมีการขึ้นภาษีสินค้า 25% จากเม็กซิโกและแคนาดา โดยจะเริ่มมีผลในวันอังคารที่ 4 มีนาคมนี้ ขณะที่จีนก็จะได้รับภาษีเพิ่มเติม 10% จากสินค้าจีน เนื่องจากประเด็นการขนส่งสารเสพติดอันตรายอย่างเฟนทานิลยังคงหลั่งไหลเข้าสหรัฐฯ จากทั้งสามประเทศนี้
การขึ้นภาษีครั้งใหม่จะมีผลต่อตลาดสินค้า และการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่การประชุมรัฐสภาประจำปีของจีนกำลังจะเริ่มต้นในวันพุธ โดยคาดว่าในที่ประชุมดังกล่าวจะมีการเปิดเผยแผนการเศรษฐกิจสำคัญสำหรับปี 2025
ทรัมป์ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวในทำเนียบขาวว่า การเพิ่มภาษีในครั้งนี้เป็นการตอบสนองต่อการที่รัฐบาลเม็กซิโก, แคนาดา และจีนยังคงไม่สามารถควบคุมการไหลเข้าของเฟนทานิลได้ตามที่คาดหวัง แม้จะมีการเจรจาในประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ภาษี 10% สำหรับสินค้าจากจีนเริ่มมีผลเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การประกาศขึ้นภาษีครั้งนี้ของทรัมป์เพิ่มความตึงเครียดในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่การเจรจาการค้าไม่ได้มีความคืบหน้าที่ชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา
ภายใต้สถานการณ์นี้ การขึ้นภาษีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาต่างๆ เช่น วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีน และภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในสหรัฐฯ
จีนมีท่าทีตอบโต้ด้วยการจัดเก็บภาษี 10% สำหรับสินค้าสหรัฐฯ หลายรายการ โดยเฉพาะสินค้าพลังงานและอุปกรณ์การเกษตร ขณะเดียวกันทางการจีนยังยืนยันว่าได้ดำเนินการตรวจสอบและจับกุมคดีอาชญากรรมเกี่ยวกับยาเสพติดกว่า 38,000 คดี และยึดยาบ้า 28.1 ตันในปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการกล่าวถึงการจับกุมที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลที่ส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม จีนอาจใช้มาตรการตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นเมื่อภาษีใหม่ของสหรัฐฯ เริ่มมีผล ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศยิ่งทวีความตึงเครียด
เม็กซิโกและแคนาดาได้เตรียมการหารือกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตันในวันที่ 6-7 มีนาคม เพื่อลดผลกระทบจากการขึ้นภาษีครั้งนี้ โดยเม็กซิโกมีการส่งตัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดจำนวน 30 คนไปยังสหรัฐฯ รวมทั้งราเฟล การ์โร ควินเทโร หัวหน้าผู้ค้ายาเสพติดที่มีชื่อเสียง ซึ่งถูกตัดสินลงโทษในคดีฆาตกรรมเจ้าหน้าที่ DEA เมื่อปี 1985
ในส่วนของแคนาดา เจ้าหน้าที่กล่าวว่าความพยายามในการเพิ่มความปลอดภัยตามชายแดนและการควบคุมการขนส่งยาเสพติดจะสามารถช่วยลดความกังวลของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้
การขึ้นภาษีในครั้งนี้นอกจากจะมีผลต่อการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโกและแคนาดาแล้ว ยังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะกับจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการนำเข้าจากจีนที่มีมูลค่าสูงถึง 439 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา
ทรัมป์ยังได้กล่าวว่า การขึ้นภาษีในรอบแรกที่เขาเคยดำเนินการเมื่อช่วงแรกของการดำรงตำแหน่งไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากนัก และเขามองว่าการขึ้นภาษีครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาการเงินหรือเงินเฟ้อ แต่เป็นเรื่องของความยุติธรรม
จากแผนที่ออกมาในช่วงที่ผ่านมา สหรัฐฯ กำลังมองหามาตรการที่จะลดการพึ่งพาจีนในหลายๆ ด้าน รวมทั้งเทคโนโลยีที่สำคัญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงท่าทีที่แข็งกร้าวจากรัฐบาลทรัมป์ในการเผชิญหน้ากับจีน
ในขณะเดียวกัน บทบาทของจีนในเศรษฐกิจโลกยังคงมีความสำคัญ และการตัดสินใจของทรัมป์อาจจะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในอนาคต
การเจรจาและการดำเนินมาตรการตอบโต้จากทั้งสามประเทศนี้ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องจับตาต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่จีนเลือกที่จะเพิ่มภาษีหรือใช้มาตรการอื่นๆ ในการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ หากไม่สามารถหาข้อตกลงได้ การขึ้นภาษีอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้เกิดการถดถอยในภาคการผลิตและการค้าระหว่างประเทศ