นับเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญในการค้าโลก เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเดินหน้าบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรต่อเม็กซิโกและแคนาดาในวันอังคารนี้ (ตามเวลาสหรัฐฯ) แต่ระดับภาษีที่แน่นอนยังขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจเปิดทางให้เกิดการต่อรองในช่วงโค้งสุดท้าย
ฮาวเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยผ่านรายการ Sunday Morning Futures ของ Fox News เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า "จะมีการเรียกเก็บภาษีในวันอังคารนี้อย่างแน่นอน แต่ตัวเลขที่แน่ชัดนั้นยังอยู่ในดุลยพินิจของประธานาธิบดีและทีมงาน"
ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ มีแผนจะเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้าจากเม็กซิโกทั้งหมด และสินค้านำเข้าจากแคนาดาที่ยกเว้นหมวดพลังงาน แต่ล่าสุด ลัทนิคส่งสัญญาณว่ารัฐบาลอาจ ไม่ได้ใช้ภาษีเต็มเพดาน ตามที่ประกาศไว้
"ทั้งสองประเทศทำหน้าที่ได้ดีในระดับหนึ่งในการรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดนกับสหรัฐฯ แต่ปัญหาสำคัญอย่างฟีนทานิลยังคงไหลทะลักเข้ามา" ลัทนิคกล่าว โดยกล่าวถึง ยาเสพติดที่มีฤทธิ์รุนแรงสูงและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดจำนวนมากในสหรัฐฯ
ความไม่แน่นอนของตัวเลขภาษีสะท้อนถึงท่าทีของทรัมป์ที่ยัง "เล่นเกมต่อรอง" กับทั้งสองประเทศ ก่อนหน้านี้เขาเคยระบุว่าอาจขยายกำหนดเส้นตายไปเป็นวันที่ 2 เมษายน แต่สุดท้ายกลับย้ำว่าภาษีจะมีผลในวันอังคารนี้แน่นอน
ไม่เพียงแค่เม็กซิโกและแคนาดา จีนเองก็กำลังเผชิญกับมาตรการภาษีเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ เช่นกัน ทรัมป์ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จะเพิ่มอัตราภาษี อีก 10% สำหรับสินค้าจีนที่อยู่ภายใต้มาตรการภาษีเดิมที่เรียกเก็บไปแล้ว 10% ตั้งแต่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
"ถ้าจีนไม่หยุดการลักลอบนำเข้าฟีนทานิลสู่สหรัฐฯ เราจะขึ้นภาษีเพิ่มในวันอังคารนี้" ลัทนิคกล่าว
แม้จะยังไม่มีความชัดเจนเรื่องอัตราภาษีที่แน่นอน แต่ตลาดการค้าระหว่างประเทศเตรียมรับมือกับแรงกระเพื่อมจากมาตรการของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็น
• ความเสี่ยงของสงครามการค้าระลอกใหม่ ที่อาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานสะดุด
• ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น สำหรับผู้บริโภคชาวอเมริกัน หากภาษีระดับสูงถูกบังคับใช้
• โอกาสในการเจรจา ของเม็กซิโกและแคนาดา เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ขณะที่จีนต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสหรัฐฯ อีกครั้ง ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดจากข้อพิพาทการค้าและปัญหายาเสพติดที่กลายเป็นเดิมพันสำคัญ
มาตรการภาษีของทรัมป์มักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการค้า ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดโลก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นกลยุทธ์ที่เขาใช้ในการผลักดันวาระของตัวเอง
สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปคือ ระดับภาษีที่สหรัฐฯ จะประกาศใช้อย่างเป็นทางการในวันอังคารนี้ และผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเม็กซิโก แคนาดา และจีน ที่อยู่ในสมรภูมิร้อนแรงครั้งนี้