สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า กรมศุลกากรเวียดนาม ได้มีการออกประกาศ โดยระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 สินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำซึ่งส่งผ่านบริการขนส่งด่วน (Express delivery services) จะไม่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อีกต่อไป
สำหรับการดำเนินมาตรการนี้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติสากล สร้างความเป็นระบบภาษีของประเทศ และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐที่มุ่งขยายฐานภาษี โดยมีการคาดการณ์ว่าหากสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 1 ล้านเวียดนามด่ง หรือประมาณ 39.4 ดอลลาร์ ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10 ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับงบประมาณของรัฐประมาณ 2.7 ล้านล้านเวียดนามด่ง หรือประมาณ 105.7 ดอลลาร์
นอกจากนี้ นโยบายดังกล่าวยังช่วยสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างสินค้าที่ผลิตในประเทศและสินค้านำเข้า ส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ รวมถึงช่วยเสริมสร้างการบริหารจัดการของรัฐและป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าและการหลีกเลี่ยงภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำ ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวยังสอดคล้องกับแนวโน้มระดับโลก เนื่องจากหลายประเทศได้เริ่มเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำแล้ว
อย่างไรก็ตาม กรมศุลกากรคาดว่าการบังคับใช้มาตรการนี้อาจเผชิญกับความท้าทายในช่วงเริ่มต้น สำหรับภาคธุรกิจและผู้บริโภค สินค้านำเข้ามูลค่าต่ำที่ส่งผ่านบริการขนส่งด่วนจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามอัตราที่กำหนด ระบบยังอยู่ระหว่างการปรับปรุง ผู้สำแดงภาษีจะต้องจัดเตรียมข้อมูลเพิ่มเติมในแบบฟอร์มกระดาษและรายการสินค้าโดยละเอียด เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อมูลจาก Vietnam Posts และ Telecommunications Group ระบุว่า ปัจจุบันมีสินค้าราคาถูกประมาณ 4-5 ล้านรายการต่อวันถูกส่งเข้ามาจากจีนผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งหมายความว่าเวียดนามไม่สามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีนำเข้าจากสินค้าเหล่านี้ได้รวมเป็นมูลค่าที่สูญเสียไปประมาณ 45-63 ล้านดอลลาร์ต่อวัน
นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้าแบบแยกชิ้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีได้กลายเป็นช่องทางที่ถูกนำมาใช้มากขึ้น ทำให้ศุลกากรต้องเผชิญกับปัญหาการควบคุมและป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ดังนั้น การยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำจึงเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยเพิ่มรายได้จากภาษีของรัฐ สนับสนุนผู้ผลิตภายในประเทศให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้นกับสินค้านำเข้า และช่วยให้รัฐบาลสามารถบริหารจัดการการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อีกทั้งมาตรการนี้ยังมีส่วนช่วยสร้างสมดุลทางการค้า โดยทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นไม่เสียเปรียบจากสินค้านำเข้าราคาถูกที่ได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศมีความมั่นคงมากขึ้น และทำให้รัฐบาลสามารถลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการสังคมได้มากขึ้นจากรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้นโยบายใหม่นี้ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับแบรนด์สินค้าพรีเมียม แม้ว่าการจัดเก็บภาษีอาจส่งผลให้ต้นทุนสินค้านำเข้าสูงขึ้น แต่หากสินค้าเหล่านั้นเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม มีคุณภาพสูง ก็อาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ในทางกลับกัน แบรนด์เหล่านี้อาจสามารถใช้โอกาสในการขยายตลาดและสร้างความแตกต่างจากสินค้าราคาถูกที่ต้องเสียภาษี
อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและความน่าเชื่อถือของแบรนด์มากกว่าการเลือกซื้อสินค้าราคาถูกเพียงอย่างเดียว
สำหรับกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีนำเข้าสำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1 ล้านเวียดนามด่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ขาย ผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่าย เนื่องจากภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคและความสามารถในการแข่งขันของสินค้านำเข้า โดยเฉพาะสินค้าราคาถูกที่เคยได้รับการยกเว้นภาษี
ก่อนหน้านี้ ผู้ขายจากต่างประเทศสามารถส่งสินค้าราคาถูกเข้ามาในเวียดนามได้โดยไม่ต้องเสียภาษี ทำให้สามารถตั้งราคาจำหน่ายที่ต่ำและแข่งขันกับสินค้าในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อกฎระเบียบใหม่มีผลบังคับใช้ ต้นทุนด้านภาษีจะถูกผลักไปยังผู้บริโภค ทำให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
ขณะที่ในระยะยาว ผู้ขายและผู้ผลิตจากต่างประเทศอาจต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน หนึ่งในแนวทางที่อาจเกิดขึ้นคือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างคำสั่งซื้อ เช่น แทนที่จะส่งสินค้ารายชิ้นผ่านบริการขนส่งด่วน อาจมีการรวมคำสั่งซื้อเป็นล็อตใหญ่และจัดส่งผ่านระบบขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ แม้ว่าจะใช้เวลานานขึ้น แต่ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง ทำให้สามารถลดผลกระทบจากภาษีที่เพิ่มขึ้นได้
สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเจาะตลาดเวียดนาม การหาผู้จัดจำหน่ายในประเทศหรือการตั้งคลังสินค้าในเวียดนามอาจเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อลดต้นทุนด้านภาษีและค่าขนส่ง
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ประโยชน์จากการมีตัวแทนจำหน่ายในท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ตอบสนองความต้องการของตลาดได้รวดเร็วขึ้น และแข่งขันกับสินค้าภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ