DeepSeeK สร้างปัญหาอะไร!!! หุ้นไทยเกี่ยวอะไรด้วย...

29 ม.ค. 2568 | 06:00 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ม.ค. 2568 | 13:24 น.

DeepSeeK สร้างปัญหาอะไร!!! หุ้นไทยเกี่ยวอะไรด้วย... : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

*** แม้ว่าแอปพลิเคชัน AI เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดจาก DeepSeeK จะเปิดตัวขึ้นมาแล้วหลายวัน แต่ด้วยเหตุที่ให้บริการฟรี มีเรื่องเล่าที่มาจาก “ความสดใหม่” ที่ใช้เวลาในการพัฒนาเพียงแค่ปีกว่าๆ จากพนักงานแค่ 200 คน ไม่ได้ใช้ชิปเซ็ตตัวท็อปสุดจาก Nvidia รวมไปถึงใช้เงินทุนในการพัฒนาแค่ 190 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดดาวน์โหลดแอปฯ DeepSeeK ขยับขึ้นอันดับหนึ่งบน App Store แซงหน้า ChatGPT ภายในเวลาเพียงข้ามวันหลังเปิดตัว 

และยังเป็นเหตุให้ ChatGPT และ DeepSeeK ถูกจับมาเปรียบเทียบว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ของแพงที่สุด หรือ ดีที่สุด แต่ก็ได้ผลลัพธ์เท่ากัน ส่งผลให้มาร์เก็ตแคปหุ้น Semiconductor อาทิ NVIDIA, BROADCOM, ASML และ AMD หายไปถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในเวลาแค่ข้ามคืน โดยที่ในฝั่งของตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบในเช้าของวันถัดมา 

ว่าแต่ตลาดหุ้นไทยไปเกี่ยว หรือ ไปวิ่งตามอะไรกับเค้าด้วย!!!

อย่างแรก... นักวิเคราะห์จากหลายสำนักต่างบอกตรงกันว่า ตลาดหุ้นไทยกำลังถูกบิดเบือนจากมูลค่าของมาร์เก็ตแคปฯ ในขณะที่หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ตัวใหญ่ อย่าง DELTA เคยมีมาร์เก็ตแคปฯ สูงกว่า 2 ล้านล้านบาท ทั้งที่มีกำไรต่อปีเพียงหมื่นกว่าล้านบาท สูงกว่ามาร์เก็ตแคปฯ ของ PTT PTTEP และ PTTGC ที่จับเอามารวมกัน ทั้งที่มีกำไรหลายแสนล้านบาทต่อปี 

และกรณีนี้ก็ทำให้ DELTA กลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่ชี้นำตลาดฯ ในขณะที่ในช่วงเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้นของ DELTA มักจะถูกชี้นำโดยราคาหุ้นเทคฯ อย่าง Nvidia และ Tesla ก็ทำให้ดัชนีหุ้นไทยขยับตัวไปตามการขยับตัวของ DELTA นั่นเอง

ดังนั้น เมื่อหุ้นเทคฯ อย่าง Nvidia และ Tesla ได้รับผลกระทบจากกรณีของ DeepSeeK จนส่งผลกระทบมาที่ DELTA จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมาแปลกใจที่ตลาดหุ้นไทย จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย...

อย่างที่สอง... ก็คงหนีไม่พ้นไปจากเรื่องเก่าๆ ที่มีสาเหตุมาจากความมั่นใจของนักลงทุนที่หดหายไป นับตั้งแต่กรณีของโกงด้วยการตกแต่งบัญชี จนเสียหายกันทั้งตลาด ต่อมาที่การทำ Short Selling และ Naked Short Selling ซึ่งผ่านเข้ามาทางฝรั่งหัวทอง และหัวดำจนนักลงทุนสู้ไม่ไหว 

ตามมาด้วยประเด็นหุ้นที่ถูกบังคับขาย (Force Sell) จากการเอาหุ้นไปวางค้ำเงินกู้บัญชีมาร์จิ้น (Margin Loan) ที่กลายเป็นสาเหตุที่ราคาหุ้นปรับลงแรงต่อเนื่องกันหลาฟลอร์ จนนักลงทุนต้องยอมถอย เพราะนอกจากจะสู้ไม่ไหวก็ยังหมดตัว เพราะไม่มีทุนจะเอามาลงทุนหรือต่อยอดอะไรอีกแล้วด้วย

ท้ายที่สุด...ก็ยังวนกลับไปที่รูปแบบของการแก้ปัญหา อันเกิดจากรอยต่อระหว่างผู้คุมกติกาชุดเก่า และชุดใหม่ ของตลาดหุ้นไทย ที่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นให้นักลงทุนกลับมาได้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้อย่างที่ควรจะเป็น

ดังนั้น เมื่อสรุปรวมความก็จะพบว่า ตลาดหุ้นไทยทุกวันนี้ยังไม่มีปัจจัยดีใหม่ๆ เข้ามา ขณะเดียวกัน ก็ยังจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ ซึ่งถ้าพูดถึงเมื่อไหร่ก็ช้ำใจทุกครั้งนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม หากมองตลาดหุ้นไทยผ่านข้อมูลทางเทคนิค ก็จะเห็นได้ว่า ดัชนีหุ้นในระดับ 1300 กว่าๆ แบบนี้ถือเป็นแนวรับที่น่าสนใจ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หากไม่มีเคสพิเศษที่เกินควบคุม แทบทุกครั้งที่ดัชนีหุ้นไทย ลงต่ำมาอยู่ในระดับนี้ ก็มักจะดีดตัวกลับคืนขึ้นไปแทบได้เสมอ แต่จะเป็นจริงได้แค่ไหน...อีกไม่นานก็คงจะได้รู้กันแล้วค่ะ   

*** หลังจากจบการแจ้งผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มธนาคารใหญ่ พบว่า KBANK มีกำไรมากที่สุด ที่ 48,598 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% รองลงมาคือ BBL ที่มีกำไรสุทธิ 45,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% และที่ 3 คือ KTB มีกำไรสุทธิ 43,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.8% ท้ายที่สุดเป็นทาง SCB ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีกำไรทั้งปีอยู่ที่ 43,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% แต่หากจะเทียบกันที่อัตราส่วนของการมีกำไรอย่างก้าวกระโดดกลับกลายเป็นว่าทางฝั่งของ KTB ที่มีกำไรทั้งปีอยู่สูงถึง 19.8% คือหุ้นธนาคารที่ดูดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ว่าแต่ KTB มีอะไรดี...ทำไมถึงมาแรงกว่าธนาคารอื่น!!!

อย่างแรก เป็นผลมาจากสินเชื่อที่เติบโต 4.7% ส่วนใหญ่จากการขยายตัวในกลุ่มลูกค้ารายย่อย ที่เป็นกลุ่มยุทธศาสตร์ของธนาคารและสินเชื่อภาครัฐ ที่ใช้ทาง KTB เป็นตัวกลาง ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะ KTB มีความเป็นสถาบันทางการเงิน ที่เกี่ยวข้องกับรัฐมากกว่าธนาคารอื่นนั่นเอง

อย่างที่สอง ก็คือ KTB มีแอปฯ “เป๋าตัง” ที่ก่อนหน้านี้ เป็นเส้นทางการเงินของภาครัฐ ที่มาสู่ประชาชนเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโควิด ที่ทำให้ KTB ได้เก็บค่าต๋งแบบสบายๆ แต่ปัจจุบันแอปฯ “เป๋าตัง” กลายเป็นช่องทางขายล็อตเตอรี่ออนไลน์ ที่ยังคงเป็นพระเอกในการปั๊มเงินสดให้กับ KTB เพิ่มเข้ามาอยู่ตลอด

สรุปง่ายๆ ขอเพียงแค่ KTB ยังคงได้ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มาจากทางภาครัฐ ก็ยังไปต่อได้สบายๆ ขอเพียงแค่ไม่ “สดุดขาตัวเอง” ด้วยปัญหาหนี้ NPL ที่มาจากการปล่อยกู้ที่ขยายตัวขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ไม่นาจะมีปัญหาอะไรอยู่แล้วเจ้าค่ะ