*** ทันทีที่รัฐบาลภายใต้การนำของ "นายกอุ๊งอิ๊ง - แพทองธาร ชินวัตร" เปิดให้ประชาชนเข้าชมบ้านตัวอย่างใน “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” พร้อมเปิดให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์บ้านเพื่อคนไทย ก็เรียกเสียงฮือฮาสนับสนุนให้เกิดขึ้นจากฝ่ายผู้ที่สนับสนุนรัฐบาลและกลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์
ในขณะที่ฝั่งของคนที่ไม่ชอบรัฐบาล รวมไปถึงกลุ่มของผู้สูญเสียผลประโยชน์ ก็เริ่มแสดงแดงความเห็น หรือ ส่งเสียงคัดค้านและแสดงท่าทีที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้อย่างออกหน้าออกตา
ว่าแต่ทำไม “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” จึงกลายเป็นโครงการของรัฐที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในตอนนี้...
อย่างแรก เป็นมุมมองของฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาล และผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการอยู่อาศัย เนื่องจาก “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” เป็นโครงการใหญ่ระดับ 1 ล้านยูนิต ซึ่งจะใช้เงินลงทุนมูลค่าหลายแสนล้านบาท
โดยโครงการนี้จะนำพื้นที่ของ “การรถไฟ” มาพัฒนาโดยมีสัญญาการอยู่อาศัยระยะเวลา 99 ปี และด้วยเหตุนี้นี่เอง ส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยของโครงการที่ว่ามี “ราคาถูก” จนประชาชนที่รายได้ไม่สูง สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ เอกชนรายอื่น ที่อยู่ในย่านใกล้เคียงแม้จะไม่มีเรื่องของอายุสัญญามาเป็นข้อผูกมัดเช่นกันก็ตาม
นอกจากนี้ “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” ยังมีข้อสนับสนุนที่มาจากความมั่นคงของโครงการ เพราะเป็นโครงการของภาครัฐ ขณะที่การที่ราคาต่อหน่วยไม่สูง ก็จะส่งผลให้มียอดเงินที่ยื่นกู้ไม่มากเกินไป ซึ่งนั่นก็หมายความว่าการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จึงอาจเข้าถึงได้มากกว่าเช่นกัน
อย่างที่สอง เป็นเรื่องมุมมองของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ที่กังวลว่า “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” อาจจะซ้ำรอยกับ “โครงการบ้านเอื้ออาทร” ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นในสมัยของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นคุณพ่อของนายกอุ๊งอิ๊ง - แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันก็เป็นได้
ท้ายที่สุด เป็นมุมมองจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักลงทุนบางกลุ่มที่มองว่า อาจส่งผลกระทบไปยังตลาดและกำลังซื้อของลูกค้ากลุ่มบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่อิงอยู่กับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้น้อย ถึง ปานกลาง เช่น บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ หรือ LPN บมจ.สนาดีเวลลอปเม้นท์ หรือ SENA บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ หรือ LALIN บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ PSH รวมไปถึง บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ ที่ทำเลของโครงการที่อยู่ใกล้เคียงกัน
ข่าวว่า “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการนำร่องของรัฐบาล ซึ่งผ่านการกลั่นกรองมาจากคณะที่ปรึกษา ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนมาก และยังเล่าลือกันว่า หนึ่งในนั้นเป็น “ระดับบิ๊ก” ที่มีประสบการณ์มาจากบริษัทใหญ่ระดับแสนล้านอย่าง BTS เข้ามาอีกด้วย
ดังนั้น อย่าได้ดูเบา...ใครจะไปรู้ว่า “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “จุดเปลี่ยน” ของอุตสาหกรรมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตของประเทศไทย ไปตลอดกาลก็เป็นได้เจ้าค่ะ
*** หลังจาก บมจ. โปร อินไซด์ หรือ PIS กลายเป็นหุ้นไอพีโอตัวแรกของปี ที่ยืนราคาซื้อขายหุ้นหน้ากระดานเหนือราคาจองซื้อเป็นตัวแรกในรอบหลายเดือนได้สำเร็จ ซึ่งเจ๊มาธ์กำลังสงสัยว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในภาวะตลาดหุ้นไทยกำลังขาดปัจจัยบวกเช่นนี้ กำลังส่งต่อแรงกดดันไปยังหุ้นไอพีโอตัวอื่นๆ ที่กำลังก้าวเดินตามเข้ามาว่า จะสามารถยืนเหนือราคาจองซื้อในแบบที่ PIS ทำได้หรือไม่
ล่าสุด บมจ. มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง หรือ MOTHER ซึ่งดำเนินธุรกิจค้าปลีกในพื้นที่ภาคใต้ เป็นอีกบริษัทที่กำลังจะเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาด mai ด้วยหุ้นไอพีโอจำนวน 86 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.40 บาท ที่ค่าพีอี 21.40 เท่า แต่หากลงลึกในข้อมูลจะสังเกตเห็นได้ว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) จะพบว่า บริษัทมีรายได้รวม 1,123.08 ล้านบาท 1,195.47 ล้านบาท 1,252.90 ล้านบาท
ขณะที่มีกำไรสุทธิ 18.44 ล้านบาท 13.84 ล้านบาท และ 15.99 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 959.38 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 12.38 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นที่ทำธุรกิจเดียวกัน จะพบว่า มีอัตรากำไรสุทธิที่บางมาก แม้ว่าปริมาณหุ้นไอพีโอของ MOTHER จะมีไม่มากนัก
เอาเป็นว่าที่เจ๊เมาธ์เล่าก็เพื่อให้เป็นข้อมูล โดยส่วนตัวเจ๊เองก็เชื่อว่าหุ้นที่ยังไม่เข้าไปซื้อขายก็ไม่มีใคร “รู้” หรือ “ฟันธง” ได้ว่าเมื่อเข้าตลาดไปแล้ว จะราคาเหนือจอง หรือ ต่ำกว่าราคาจองซื้อ ของแบบนี้มันต้องรู้เอง แต่แมงเม่าส่วนใหญ่จะรู้ตัวอีกที ก็ตอนที่ถอนตัวออกไม่ได้แล้ว เพราะจ่ายเงินซื้อหุ้นไปแล้วโน้นเลยเจ้าค่ะ อิอิอิ