สจล.จี้รัฐแก้ฝุ่นจริงจัง ลดเผาการเกษตร นวัตกรรมช่วยได้พื้นที่จำกัด

30 ม.ค. 2568 | 07:51 น.

อธิการบดี สจล. จี้รัฐจริงจังแก้ปัญหาฝุ่นที่ต้นเหตุ ลดการเผาทางการเกษตร ขี้นวัตกรรมสามารถช่วยได้ในพื้นที่จำกัด ไม่สามารถแก้ปัญหาภาพรวมได้ เนื่องจากมวลอากาศที่มีฝุ่นมีขนาดใหญ่และเคลื่อนที่ตลอดเวลา

รศ.ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในประเทศไทยเป็นวิกฤตที่สั่งสมมายาวนาน แม้จะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหา แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ไม่ได้แก้ที่ต้นตอของปัญหาอย่างแท้จริง ทำให้สถานการณ์ฝุ่นพิษยังคงทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี

สจล.จี้รัฐแก้ฝุ่นจริงจัง ลดเผาการเกษตร นวัตกรรมช่วยได้พื้นที่จำกัด

“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 รุนแรงขึ้น คือการเผาในภาคการเกษตร โดยเฉพาะในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งกลายเป็นตัวกระตุ้นให้ปริมาณฝุ่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุจำเป็นต้องมองให้ลึกไปถึงบทบาทของนายทุนผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตร”

โดยการที่รัฐบาลยังไม่จริงจังกับการควบคุมการเผาผลผลิตทางการเกษตร โดยอ้างว่าไม่สามารถควบคุมได้นั้น จริงๆ แล้วต้องมองไปที่นายทุน ถ้าเรานำนายทุนแต่ละรายที่เกี่ยวข้องมาร่วมรับผิดชอบ และมีกฎหมายบังคับให้พวกเขามีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมให้มากขึ้น เชื่อว่าสามารถแก้ปัญหาได้ ปัจจุบัน นายทุนรายใหญ่มีการลงทุนในภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น และส่งออกผลผลิตไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ส่งผลให้ปริมาณมลภาวะทางอากาศและฝุ่นในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ปัญหายังไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในประเทศไทย แต่ยังรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่มีการเผาในภาคการเกษตรเช่นกัน

สจล.จี้รัฐแก้ฝุ่นจริงจัง ลดเผาการเกษตร นวัตกรรมช่วยได้พื้นที่จำกัด

ในกรณีของกรุงเทพมหานคร สภาพภูมิประเทศที่เป็นแอ่งกระทะ ประกอบกับการมีตึกสูงจำนวนมากและพื้นที่สีเขียวน้อย ทำให้การไหลเวียนของอากาศไม่ดี เมื่อมีฝุ่นจากภายนอกพัดเข้ามา รวมกับมลภาวะจากไอเสียรถยนต์ที่มีปริมาณหนาแน่น ยิ่งทำให้ความเข้มข้นของ PM 2.5 ในเขตกรุงเทพฯ สูงขึ้น

 “ปัญหาหลักไม่ได้มาจากรถยนต์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากปัจจัยภายนอกที่เข้ามา และเมื่ออากาศปิด ไม่มีการเคลื่อนที่ของลม มลภาวะจากไอเสียรถยนต์จึงเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้สถานการณ์แย่ลง”

การแก้ปัญหา ฝุ่น PM 2.5 ในระยะยาวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชนที่เป็นผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตร ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนเกษตรกรให้ลดการเผา เช่น การสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตร การรับซื้อเศษวัสดุทางการเกษตรเพื่อนำไปรีไซเคิล หรือพัฒนาวิธีการเก็บเกี่ยวที่ไม่ต้องเผา

นอกจากนี้ ยังต้องมีการวางแผนการจัดการอย่างเป็นระบบ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ทิศทางลมประจำถิ่น ช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร และการบริหารจัดการพื้นที่เมือง รวมถึงการส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนไฟฟ้าและยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

บทเรียนจากต่างประเทศ เช่น กรณีของปักกิ่งที่เคยประสบปัญหามลภาวะทางอากาศรุนแรง แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน และการควบคุมมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง แสดงให้เห็นว่าการแก้ปัญหาต้องอาศัยนโยบายที่ชัดเจนและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

สำหรับมาตรการระยะสั้นในการบรรเทาปัญหา ฝุ่น PM 2.5 อาจรวมถึงการปรับรูปแบบการทำงานเป็นแบบไฮบริด การจำกัดการเดินทางของยานพาหนะในช่วงวิกฤต และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชนที่ต้องเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างจริงจัง

ทั้งนี้ ในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี สจล.ได้มีการพัฒนาระบบเตือนภัยและการป้องกันตัวของประชาชน เช่น การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศและป้ายแสดงผลอัจฉริยะ เพื่อแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังและป้องกันตัวเองเมื่อค่าฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะในช่วงเช้าและหัวค่ำที่อากาศนิ่ง ฝุ่นจะตกค้างอยู่ใกล้พื้นดิน นอกจากนี้ยังมีหอคอยฟอกอากาศ หรือการใช้ละอองน้ำดักจับฝุ่น แต่วิธีการเหล่านี้สามารถช่วยได้เพียงในพื้นที่จำกัด ไม่สามารถแก้ปัญหาในภาพรวมได้ เนื่องจากมวลอากาศที่มีฝุ่นมีขนาดใหญ่และเคลื่อนที่ตลอดเวลา

ในท้ายที่สุด การแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืนจำเป็นต้องดำเนินการในหลายมิติ ทั้งการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ การพัฒนาระบบเตือนภัยและป้องกัน การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนให้มีการระบบรถไฟฟ้ามากขึ้น และการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง