เจาะพอร์ต 10 มหาเศรษฐีไทย 8 ตระกูลร่วง 2 ตระกูลรุ่ง

07 มี.ค. 2568 | 07:15 น.
อัปเดตล่าสุด :07 มี.ค. 2568 | 15:45 น.
4.4 k

2 เดือนหุ้นกลุ่มเจ้าสัวไทยผันผวน: 8 ตระกูลเศรษฐีมูลค่าร่วง 2 ตระกูลรุ่ง ท่ามกลางภาวะตลาดผันผวนช่วงต้นปี 2568 ตระกูลสิริวัฒนภักดี มาร์เก็ตแคปวูบ 3.8 หมื่นล้าน กลุ่ม JAS ดิ่ง 37% ขณะที่เครือซีพีโต 2.7 หมื่นล้านบาท สวนกระแสตลาด

“ฐานเศรษฐกิจ” วิเคราะห์มูลค่าหลักทรัพย์ (Market Capitalization) ของ 10 กลุ่มธุรกิจใหญ่ ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือนของปีนี้ พบมูลค่ารวมของทั้ง 10 กลุ่มธุรกิจนี้ลดลงถึง 324,689 ล้านบาท หรือราว 7.59% โดยมี 8 กลุ่มที่มูลค่าลดลงและเพียง 2 กลุ่มที่มูลค่าเพิ่มขึ้น

“กลุ่ม JAS” พิชญ์ โพธารามิก

ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 หุ้นกลุ่มธุรกิจของ “พิชญ์ โพธารามิก” ได้รับผลกระทบหนักสุดในบรรดาเจ้าสัวไทย หลังมูลค่าหลักทรัพย์รวมดิ่งลงกว่า 37.39% ในช่วงสองเดือนแรกของปี 2568

จากการวิเคราะห์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหลักทรัพย์ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค. 2567 ถึง 28 ก.พ. 2568 พบว่า มูลค่าหลักทรัพย์รวมของกลุ่มธุรกิจเจ้าสัวพิชญ์ โพธารามิก ซึ่งประกอบด้วย JAS, JTS และ MONO ทรุดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 72,164 ล้านบาท เหลือเพียง 45,184 ล้านบาท หรือหายไปถึง 26,979 ล้านบาท คิดเป็นการลดลง 37.39%

โดยแยกรายบริษัทพบว่า MONO หรือบริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในแง่ของเปอร์เซ็นต์ โดยมูลค่าหลักทรัพย์ลดลงจาก 7,150.37 ล้านบาท เหลือเพียง 3,540.48 ล้านบาท หายไป 3,609.89 ล้านบาท หรือลดลงถึง 50.49% นับเป็นหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดในบรรดาทุกหุ้นที่ทำการวิเคราะห์ในครั้งนี้

ขณะที่ JTS หรือบริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหุ้นใหญ่ที่สุดในกลุ่ม มูลค่าหลักทรัพย์ลดลงจาก 46,626.18 ล้านบาท เหลือ 27,551.83 ล้านบาท หายไปถึง 19,074.35 ล้านบาท หรือลดลง 40.91% คิดเป็นสัดส่วนถึง 70.7% ของมูลค่าที่หายไปทั้งหมดในกลุ่ม

ส่วน JAS หรือบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) แม้จะปรับตัวลดลงน้อยกว่าในแง่เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังลดลงถึง 23.36% โดยมูลค่าลดลงจาก 18,387.55 ล้านบาท เหลือ 14,092.22 ล้านบาท หายไป 4,295.33 ล้านบาท

“กลุ่ม WHA” จรีพร จารุกรสกุล 

มูลค่าตลาดหุ้นกลุ่ม WHA ลดลงรวมกันกว่า 36,280 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25.39% ระหว่างช่วงสิ้นเดือนธันวาคม 2567 ถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2568 สวนทางกับความเชื่อมั่นของผู้บริหาร หลังประกาศแผนสปินออฟบริษัทลูก WHAID เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

จากข้อมูลมูลค่าตลาดของหลักทรัพย์ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่าหุ้นกลุ่ม WHA ที่มี น.ส. จรีพร จารุกรสกุล เป็นผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ มีการปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีรายละเอียดดังนี้

เจาะพอร์ต 10 มหาเศรษฐีไทย 8 ตระกูลร่วง 2 ตระกูลรุ่ง

WHA (บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)) มูลค่าหลักทรัพย์ลดลงมากที่สุดถึง 30,790.48 ล้านบาท หรือ 37.45% จากมูลค่า 82,207.59 ล้านบาท เหลือเพียง 51,417.11 ล้านบาท

WHAUP (บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) มูลค่าลดลง 4,590 ล้านบาท หรือ 24.90% จากมูลค่า 18,436.50 ล้านบาท เหลือ 13,846.50 ล้านบาท

WHAIR (ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล) มูลค่าลดลง 899.99 ล้านบาท หรือ 13.08% จากมูลค่า 6,882.24 ล้านบาท เหลือ 5,982.25 ล้านบาท

ส่วน WHART (ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท) เป็นหลักทรัพย์เพียงตัวเดียวในกลุ่มที่มูลค่าคงที่ที่ 35,382.04 ล้านบาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

การลดลงของมูลค่าตลาดในกลุ่มหุ้น WHA เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกับการประกาศแผนสปินออฟบริษัทลูก WHAID เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้น WHA ร่วงลงกว่า 20% ในวันเดียว ขณะที่ น.ส. จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม WHA ชี้แจงว่า การที่ WHA ตัดสินใจสปินออฟ นำบริษัทลูก WHAID เข้าตลาดหุ้น เพราะเรามองเห็นการเติบโตระยะยาวทั้งในและต่างประเทศ ไม่แน่ใจว่านักลงทุนอาจจะกังวลหรือตกใจกับบทวิเคราะห์มากไปหรือไม่ น.ส.จรีพรกล่าว

“กลุ่ม GULF”

หุ้นในกลุ่ม นายสารัชถ์ รัตนาวะดี (INTUCH, GULF) ลดลง 17.85% โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ลดลงสูงที่สุดถึง 180,117 ล้านบาท จากมูลค่าเดิม 1,009,171 ล้านบาท เหลือ 829,054 ล้านบาท

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF มี market cap วันที่ 30 ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 698,122.42 ล้านบาท โดยจนถึงวันที่ 28 ก.พ. 2568 มี market cap ลดลง 123,198.07 ล้านบาท อยู่ที่ 574,924.35 ล้านบาท สวนทางกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 18,170,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.3%

ด้านบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH มี market cap วันที่ 30 ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 311,048.71 ล้านบาท ขณะที่ ณ วันที่ 28 ก.พ. 2568 มี market cap อยู่ที่ 254,130 ล้านบาท ลดลง 56,918 ล้านบาท สวนทางกับผลการดำเนินงานในปี 2567 มีกำไรสุทธิ 13,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 13,139 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งผลกําไรจาก บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC 

กลุ่มเจ้าสัว เจริญ สิริวัฒนภักดี

จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ล่าสุด ชี้ให้เห็นการปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญของกลุ่มหุ้นในเครือตระกูลสิริวัฒนภักดี ในช่วงเพียง 2 เดือนระหว่างวันที่ 30 ธ.ค. 2567 ถึง 28 ก.พ. 2568 โดยมูลค่ารวมของหุ้นทั้ง 6 บริษัทในเครือลดลงไปถึง 38,285 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.38% จากมูลค่าเดิม 248,901 ล้านบาท เหลือเพียง 210,616 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาแยกรายบริษัท พบว่า บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในกลุ่ม โดยมูลค่าหลักทรัพย์ลดลงถึง 11,364 ล้านบาท หรือ 41.53% จาก 27,367 ล้านบาท เหลือเพียง 16,003 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงที่รุนแรงที่สุดในเชิงเปอร์เซ็นต์ของกลุ่ม

ด้าน บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยมูลค่าลดลง 19,203 ล้านบาท หรือ 17.05% จาก 112,657 ล้านบาท เหลือ 93,454 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่หายไปมากที่สุดในกลุ่มนี้

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC มูลค่าลดลง 5,610 ล้านบาท หรือ 6.01% จาก 93,381 ล้านบาท เหลือ 87,770 ล้านบาท ขณะที่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV มูลค่าลดลง 650 ล้านบาท หรือ 22.82% จาก 2,848 ล้านบาท เหลือ 2,198 ล้านบาท

ส่วน บริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ AMARIN มูลค่าลดลง 479 ล้านบาท หรือ 15.48% จาก 3,094 ล้านบาท เหลือ 2,615 ล้านบาท และ บริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TGH มูลค่าลดลง 977 ล้านบาท หรือ 10.24% จาก 9,551 ล้านบาท เหลือ 8,573 ล้านบาท

กลุ่มเจ้าสัว อนันต์ อัศวโภคิน

เจ้าสัวอนันต์ อัศวโภคิน ผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและค้าปลีกรายใหญ่ มูลค่าหลักทรัพย์ลดลงกว่า 2 หมื่นล้านบาทในช่วง 2 เดือนแรกของปี

จากข้อมูลการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหลักทรัพย์ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่า กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเจ้าสัวอนันต์ 2 บริษัท คือ LH และ HMPRO ไม่รวม LHSC ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ พบว่ามูลค่ารวมลดลง 20,977.93 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11.40% จาก 183,967.31 ล้านบาท เหลือ 162,989.38 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาแยกตามหลักทรัพย์ในกลุ่ม พบว่า LH หรือ บมจ. แลนด์แอนด์เฮ้าส์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ มีมูลค่าหลักทรัพย์ลดลงจาก 60,346.05 ล้านบาท เหลือ 51,861.76 ล้านบาท หรือลดลง 8,484.29 ล้านบาท คิดเป็น 14.06%

ขณะที่ HMPRO หรือ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน มีมูลค่าหลักทรัพย์ลดลงจาก 123,621.26 ล้านบาท เหลือ 111,127.62 ล้านบาท หรือลดลง 12,493.64 ล้านบาท คิดเป็น 10.11% 

กลุ่มเจ้าสัว คีรี กาญจนพาสน์ 

มูลค่าหลักทรัพย์กลุ่มธุรกิจของเจ้าสัวคีรี กาญจนพาสน์ ปรับตัวลดลง 8.28% ในช่วงระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 คิดเป็นมูลค่าที่หายไปกว่า 14,028 ล้านบาท จากมูลค่าเดิม 169,372 ล้านบาท เหลือ 155,343 ล้านบาท เมื่อพิจารณาแยกตามหลักทรัพย์ในเครือพบว่า BTS และ VGI ต่างได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดที่ผันผวนในช่วงต้นปี 2568

BTS หรือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ปรับตัวลดลง 4.92% หรือคิดเป็นมูลค่าที่หายไป 4,828 ล้านบาท จากมูลค่าตลาด 98,172 ล้านบาทในช่วงสิ้นปี 2567 เหลือเพียง 93,343 ล้านบาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2568

ขณะที่ VGI หรือบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านและพื้นที่เชิงพาณิชย์ ปรับตัวลดลงมากกว่า โดยลดลงถึง 12.92% คิดเป็นมูลค่า 9,200 ล้านบาท จากมูลค่าตลาด 71,200 ล้านบาทเหลือ 62,000 ล้านบาท 

“กลุ่มเซ็นทรัล” 

ตระกูลจิราธิวัฒน์ ภายใต้การนำของ “ทศ จิราธิวัฒน์” ขับเคลื่อนอาณาจักรกลุ่มเซ็นทรัล สยายปีกการลงทุนทั้งธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในไทย เวียดนาม และอีกหลายประเทศในยุโรป

ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2567 กลุ่มเซ็นทรัลมีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) จำนวน 507,448 ล้านบาท ขณะที่ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 กลุ่มเซ็นทรัลมี Market Cap จำนวน 465,597 ล้านบาท ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาลดลง 41,851 ล้านบาท คิดเป็น 8.25%

จากข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์พบว่า หุ้นในกลุ่มเซ็นทรัลทั้ง 3 ตัว ปรับตัวลดลงทั้งหมด โดยเฉพาะ CPN บริษัทผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้าชั้นนำของประเทศ ที่มีมูลค่าตลาดลดลงมากที่สุดในกลุ่มถึง 34,782 ล้านบาท หรือ 13.60% จากมูลค่าเดิม 255,816 ล้านบาทเหลือ 221,034 ล้านบาท

ขณะที่ CRC ซึ่งเป็นกลุ่มค้าปลีกที่มีแบรนด์ชั้นนำในเครือ ปรับตัวลดลงน้อยที่สุดในกลุ่มที่ 1.47% หรือมูลค่าลดลง 3,015.5 ล้านบาท โดยมีมูลค่าตลาดลดลงจาก 205,054 ล้านบาทเหลือ 202,038.5 ล้านบาท

ส่วน CENTEL ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ปรับตัวลดลง 8.70% หรือมูลค่าลดลง 4,050 ล้านบาท โดยมีมูลค่าตลาดลดลงจาก 46,575 ล้านบาทเหลือ 42,525 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี กลุ่มเซ็นทรัลต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจในประเทศและทั่วโลก ภาวะการชะลอตัวและกำลังซื้อที่ลดลง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งและออนไลน์ ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐ รวมถึงความผันผวนของตลาดหุ้นและความเชื่อมั่นของนักลงทุน

“ทศ” ยํ้าเสมอว่า วิกฤตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ธุรกิจที่แข็งแกร่งจะต้องสามารถปรับตัวและเรียนรู้จากวิกฤตได้ และการเดินหน้าธุรกิจต้องอยู่บนรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืน ปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลมีธุรกิจทั้งในเอเชียและยุโรป มีพนักงานกว่า 1 แสนคน และฐานลูกค้ากว่า 20 ล้านคนทั่วโลก 

“กลุ่มหมอเสริฐ” 

กลุ่มธุรกิจของนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ปรับตัวลดลงประมาณ 2.15% ในช่วงระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 สวนกระแสหุ้นส่วนใหญ่ที่ปรับตัวลดลงรุนแรงในตลาด โดยมูลค่าตลาดรวมของกลุ่มลดลง 9,388 ล้านบาท จากมูลค่าเดิม 436,394 ล้านบาท เหลือ 427,006 ล้านบาท

หุ้น BDMS (บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) ซึ่งเป็นหุ้นหลักในกลุ่ม มีมูลค่าตลาดลดลงเพียง 4,768 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.22% จากมูลค่าเดิม 389,354 ล้านบาท เหลือ 384,586 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่ยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน แม้ในช่วงที่ตลาดโดยรวมจะมีความผันผวน

ขณะที่หุ้น BA (บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ปรับตัวลดลงมากกว่า โดยลดลง 4,620 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9.82% จากมูลค่าเดิม 47,040 ล้านบาท เหลือ 42,420 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายที่ธุรกิจการบินยังคงเผชิญในปัจจุบัน 

“เครือซีพี” 

ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นผันผวน กลุ่มธุรกิจเครือซีพีของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ กลับสวนกระแสด้วยการเติบโต โดยมูลค่าตลาดรวมของกลุ่มในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 2.00% จากมูลค่ารวม 1.36 ล้านล้านบาทในวันที่ 30 ธ.ค. 2567 เป็น 1.39 ล้านล้านบาทในวันที่ 28 ก.พ. 2568

จากข้อมูลการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหลักทรัพย์ พบว่าหุ้นในกลุ่มเครือซีพีทั้ง 4 ตัวมีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ได้แก่ CPF (บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร) มี Market Cap เติบโตถึง 7.02% หรือมูลค่าเพิ่มขึ้น 13,462 ล้านบาท จากมูลค่า 191,829 ล้านบาทในปลายปี 2567 เป็น 205,291 ล้านบาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2568

CPAXT (บมจ. ซีพี ออลล์ เอ็กซ์ตร้า) Market Cap เพิ่มขึ้น 15,642 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.50% จากมูลค่า 284,153 ล้านบาทเป็น 299,795 ล้านบาท

TRUE (บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น) Market Cap เพิ่มขึ้น 13,821 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.60% จากมูลค่า 383,528 ล้านบาทเป็น 397,349 ล้านบาท

ในขณะที่ CPALL (บมจ. ซีพี ออลล์) Market Cap มีมูลค่าลดลงเล็กน้อย 15,720 ล้านบาท หรือ 3.14% จากมูลค่า 500,807 ล้านบาทเป็น 485,087 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม CPALL ยังคงเป็นหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจของเจ้าสัวธนินท์ 

“กลุ่มไมเนอร์” วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค

หุ้น MINT (บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)) ของนายวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค เป็นหลักทรัพย์ที่โดดเด่นที่สุดในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางภาวะตลาดที่หดตัวโดยรวม

จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า หุ้น MINT มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นจาก 147,419.40 ล้านบาท ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2567 เป็น 164,429.33 ล้านบาท ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นถึง 17,009.93 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.54%

การเพิ่มขึ้นของ Market cap เกิดจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและโรงแรมทั่วโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังโควิด-19

ในปี 2567 ไมเนอร์มีกำไร 7,750 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีรายได้รวม 165,362.27 ล้านบาท