จากกรณีที่ทาง ก.ล.ต. ออกประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์รองรับ leveraged และ inverse ETFs เพื่อให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย สามารถรองรับมุมมองและบริหารจัดการโอกาสและความเสี่ยงในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้ตลาดทุนไทยมีความสมบูรณ์มากขึ้น โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2568
ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีแนวคิดในการปรับปรุงเกณฑ์รองรับกองทุนรวมอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund หรือ ETF) ที่มีกลยุทธ์การบริหารจัดการที่มุ่งหวังผลตอบแทนทวีคูณจากผลตอบแทนรายวันของดัชนีอ้างอิง และกลยุทธ์การบริหารจัดการที่มุ่งหวังผลตอบแทนตรงกันข้ามกับผลตอบแทนรายวันของดัชนีอ้างอิง (leveraged และ inverse ETFs หรือ L&I ETFs)
โดยได้เปิดรับฟังความคิดเห็นหลักการและร่างประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2567 ซึ่งผู้แสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยกับหลักการและร่างประกาศดังกล่าว
ก.ล.ต. จึงออกประกาศเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 6 ฉบับ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2568 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์รองรับ L&I ETFs ข้างต้น ทำให้สามารถนำ L&I ETFs ต่างประเทศที่มีลักษณะตามที่กำหนดมาเป็นหลักทรัพย์อ้างอิงการออกตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt: DR) ได้ด้วย โดยผู้ออก DR ต้องเปิดเผยข้อมูลในลักษณะเดียวกับ บลจ. ที่ออก ETF และผู้ประกอบธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ต้องดำเนินการเช่นเดียวกับการให้บริการ L&I ETFs
สำหรับกองทุนรวมทั่วไปที่มีการลงทุนใน L&I ETFs เพื่อการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน ต้องระบุในโครงการให้ชัดเจน และกองทุนรวมที่จัดตั้งก่อนวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับและมีการลงทุนใน L&I ETFs ให้ดำเนินการแก้ไขโครงการให้เป็นไปตามประกาศใหม่ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ประกาศใหม่มีผลใช้บังคับ
ข้อควรรู้ในการลงทุนด้วย Leverage ที่เป็นกลยุทธ์ทางการเงินที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย นักลงทุนจึงจำเป็นต้องเข้าใจความเสี่ยงอย่างลึกซึ้งก่อนตัดสินใจลงทุน แม้จะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการลงทุนให้สูงขึ้น ช่วยทำให้ผลตอบแทนได้มากขึ้น แต่แน่นอนว่าก็ทำให้มีโอกาสขาดทุนเยอะขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ Leverage ยังมาพร้อมความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด เนื่องจากเป็นการลงทุนโดยใช้การกู้ยืม ราคาสินทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ก็สามารถส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนได้มาก รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์ทางการเมือง หรือเหตุการณ์เศรษฐกิจโลก ก็สามารถทำให้มูลค่าการลงทุนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน
รวมถึงการใช้ Leverage อาจสร้างปัญหาด้านสภาพคล่องให้กับนักลงทุน เพราะหากตลาดมีความผันผวนสูงหรือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย นักลงทุนอาจประสบปัญหาในการขายสินทรัพย์หรือถอนเงินลงทุน รวมถึงอาจต้องเผชิญกับค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับต่าง ๆ จากการบังคับขายสินทรัพย์ก่อนกำหนด
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าจะมีเรื่องความเสี่ยงเสียทีเดียว การใช้ Leverage ยังเป้นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยใช้เงินทุนจำนวนจำกัด เช่น การลงทุนในกองทุนรวม ตราสารหนี้ หรือสกุลเงินต่างประเทศ นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีโอกาสลดความเสี่ยงจากการกระจายพอร์ตการลงทุน และสามารถสร้างรายได้จากแหล่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น
ตลอดจนเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงการลงทุนที่ต้องใช้เงินทุนสูง ซึ่งปกติจะเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้มีเงินทุนน้อย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การซื้อหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ หรือการทำธุรกรรมในตลาดเงินตราต่างประเทศ เลเวอเรจช่วยให้นักลงทุนสามารถเริ่มต้นการลงทุนได้โดยใช้เงินทุนเริ่มแรกน้อยลงได้อีกด้วย