AI (Artificial Intelligence) ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงโลกในทุกมิติ

30 ม.ค. 2568 | 08:00 น.

AI (Artificial Intelligence) ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงโลกในทุกมิติ คอลัมน์ SUPER TRADER โดย สุชาวดี เรียบร้อย Super Trader

ปัจจุบัน, (AI) กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างเกือบทุกวงการ และมีการนำไปปรับใช้ หลากหลายรูปแบบการใช้งาน ทั้งในด้านการสร้างสรรค์รูปภาพ วิดีโอ การนำมาเขียนเนื้อหา หรือแม้กระทั่งในการพัฒนาระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาได้เองตามข้อมูลที่ได้รับ ทำให้ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก จากการช่วยให้ธุรกิจทำงานได้รวดเร็วขึ้น ไปจนถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในภาคการแพทย์, การศึกษา, การเกษตร, หรือแม้กระทั่งการพัฒนาระบบอัจฉริยะต่างๆ ในเมืองและบ้าน

ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ, การนำ AI มาใช้มีความน่าสนใจในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป ในประเทศไทย AI เริ่มได้รับการนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจการเงิน การผลิต และการเกษตร ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงาน ในขณะที่ประเทศที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีสูงอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน กำลังเร่งพัฒนา AI เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการในด้านต่างๆ เช่น การขนส่ง, การแพทย์, และการสร้างเมืองอัจฉริยะ โดยมีการนำ AI มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และระบบอัตโนมัติที่ทำให้ชีวิตของผู้คนสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

ด้วยความสามารถของ AI ที่สามารถปรับตัวและเรียนรู้จากข้อมูล ทำให้มันกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาโลกในอนาคต ในขณะที่ยังมีข้อจำกัดและความท้าทายในการใช้งานที่ต้องมีการควบคุมและพัฒนาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ AI สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่และปลอดภัย

AI (Artificial Intelligence) ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงโลกในทุกมิติ

 

ทีนี้เรามาพูดถึงความหมายของ AI ย่อมาจาก (Artificial Intelligence ) แปลว่า ปัญญาประดิษฐ์ ในภาษาไทย หมายถึง ระบบประมวลผลของคอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ เครื่องจักร หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่มีการวิเคราะห์เชิงลึกคล้ายความคิดของมนุษย์ เทคโนโลยีที่สร้างขึ้นเพื่อให้เครื่องจักร หรือระบบคอมพิวเตอร์สามารถทำงานที่จำเป็นต้องใช้ความคิดและการตัดสินใจเหมือนมนุษย์ มีการเรียนรู้ การวิเคราะห์ข้อมูล การเข้าใจภาษา หรือการรับรู้สิ่งต่างๆ โดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ในการควบคุมทุกขั้นตอน

ในทั้งประเทศไทยและต่างประเทศนั้นมีความแตกต่างกันบ้างตามบริบทของแต่ละประเทศ แต่โดยรวมแล้ว AI เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อุตสาหกรรม และมีความสำคัญทั้งในระดับประเทศและระดับโลก โดยแบ่งเป็น ในประเทศ และต่างประเทศ

ความน่าสนใจของ AI ในประเทศไทย

การพัฒนาทางเศรษฐกิจและธุรกิจ

  • ธุรกิจและการเงิน: AI ในประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในภาคการเงิน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อการให้สินเชื่อหรือบริการที่เหมาะสม การตรวจจับการทุจริตในธุรกรรมการเงิน (Fraud Detection) และการพัฒนา Chatbot เพื่อบริการลูกค้าทางการเงิน ทำให้ประหยัดเวลาและทรัพยากร
  • ภาคการผลิต: AI มีการนำไปใช้ในภาคการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น การใช้หุ่นยนต์ในสายการผลิต การใช้ AI ในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและการคำนวณการผลิตที่เหมาะสม
  • การเกษตร: การใช้ AI ในการเกษตร เช่น การใช้โดรนเพื่อสำรวจพืชผลและการคาดการณ์ผลผลิต หรือการใช้ AI ในการควบคุมสภาพแวดล้อมของพืช ช่วยให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรได้อย่างมี

ประสิทธิภาพมากขึ้น

  • การแพทย์: AI เริ่มได้รับการนำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ การช่วยในการวินิจฉัยโรคผ่านการอ่านภาพถ่ายทางการแพทย์ (Medical Imaging) หรือการทำนายโรคที่อาจเกิดขึ้น

 

ความน่าสนใจของ AI ในต่างประเทศ

การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม

  • สหรัฐอเมริกา: เป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI โดยเฉพาะในด้านของ Google, Amazon, Apple, Facebook และ Microsoft ที่ใช้ AI ในหลายด้าน เช่น การพัฒนาเครื่องมือค้นหาข้อมูล การทำงานของ Cloud Computing การสร้างหุ่นยนต์อัจฉริยะ และระบบแนะนำสินค้าของ Amazon
  • จีน: จีนมีการลงทุนอย่างหนักในด้าน AI โดยเน้นที่การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) และการใช้ AI ในการตรวจสอบความปลอดภัย การพัฒนาระบบการเงินดิจิทัล (FinTech) และการสร้างยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicles) โดยมีบริษัทอย่าง Baidu, Alibaba, และ Tencent ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI

การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่างๆ

  • ภาคการแพทย์: ในประเทศที่พัฒนาแล้ว AI ถูกใช้ในการวินิจฉัยโรค การพัฒนาเครื่องมือเพื่อรักษาโรค เช่น IBM Watson ที่ช่วยให้การวินิจฉัยโรคมะเร็งมีความแม่นยำมากขึ้น รวมถึงการใช้ AI ในการพัฒนาอุปกรณ์การแพทย์อัจฉริยะ
  • การผลิตและหุ่นยนต์: การใช้ AI ในการผลิต (Industry 4.0) และการพัฒนาหุ่นยนต์อัจฉริยะที่สามารถทำงานทดแทนมนุษย์ในโรงงานได้ เช่น การใช้หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในเยอรมนี
  • ยานยนต์ไร้คนขับ: ประเทศอย่างสหรัฐฯ และจีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ โดยมีบริษัทต่างๆ เช่น Tesla, Waymo (Google), และ Baidu ที่ลงทุนในเทคโนโลยีนี้

ด้านการพัฒนา AI ที่คำนึงถึงจริยธรรม

  • การกำหนดกฎเกณฑ์การใช้ AI: หลายประเทศเริ่มมีกฎหมายที่ควบคุมการใช้ AI โดยเฉพาะในสหภาพยุโรปที่มีการกำหนด General Data Protection Regulation (GDPR) เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในระบบ AI
  • AI ในการตรวจสอบและการประเมิน: มีการใช้ AI เพื่อช่วยในการตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือการบริการในหลายๆ อุตสาหกรรม รวมถึงการใช้ AI ในการตรวจสอบความโปร่งใสในองค์กร

ความท้าทายระดับโลก

  • การทำงานร่วมกันระหว่างประเทศ: ปัญหาเรื่องความแตกต่างของกฎหมายที่ควบคุมการใช้ AI ระหว่างประเทศต่างๆ อาจส่งผลต่อการพัฒนาและการนำเทคโนโลยี AI ไปใช้ในระดับสากล
  • ผลกระทบทางสังคม: การใช้ AI ในการแทนที่งานของมนุษย์อาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจในบางอุตสาหกรรม

 

AI (Artificial Intelligence) ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงโลกในทุกมิติ

 

เมื่อเปรียบเทียบมุมมองทั้งในประเทศ และต่างประเทศแล้ว เราลองมองมาในส่วนการเติบโตของ AI ในประเทศไทย กำลังได้รับความสนใจและพัฒนาอย่างรวดเร็วในหลายปีที่ผ่านมา โดยมีการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนในหลากหลายด้าน ทั้งนี้ อาจกล่าวถึงการเติบโตของ AI ในประเทศไทยได้ในหลายมิติ

1. นโยบายของภาครัฐ 

  • ในปี 2019 รัฐบาลไทยได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์ AI 4.0 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาและนำ AI มาใช้ในภาคธุรกิจ การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงการปรับใช้ในภาครัฐเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
  • การจัดตั้ง สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา AI และสนับสนุนการใช้ AI ในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมต่างๆ

2. การพัฒนาและการวิจัยใน AI

  • สถาบันการศึกษาในประเทศไทย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ต่างก็มีการวิจัยและพัฒนา AI ในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การเกษตร การขนส่ง และการเงิน
  • การจัดตั้ง ศูนย์วิจัยและพัฒนา AI เช่น ศูนย์วิจัย AI ของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เป็นแหล่งพัฒนาเทคโนโลยี AI และการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ

3. การลงทุนและการใช้งาน AI ในภาคธุรกิจ

  • บริษัทไทยหลายแห่งเริ่มนำ AI มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data), การพัฒนาบริการลูกค้าโดยใช้ Chatbot หรือระบบแนะนำสินค้า
  • ธุรกิจสตาร์ทอัพด้าน AI ก็มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดยเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้ AI เช่น การวิเคราะห์ตลาด, ระบบอัตโนมัติ, และเทคโนโลยีการรู้จำภาพ

4. การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ AI

  • มีการเปิดหลักสูตรออนไลน์และคอร์สการฝึกอบรมในด้าน AI เช่น Coursera, Udemy, หรือมหาวิทยาลัยในไทยที่มีหลักสูตรพัฒนาทักษะ AI
  • หน่วยงานต่างๆ ได้เริ่มจัดกิจกรรม เช่น hackathon หรือการแข่งขันด้าน AI เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ในกลุ่มนักศึกษาและบุคคลทั่วไป

5. ความท้าทายและโอกาส

  • แม้ว่า AI จะเติบโตในไทย แต่ยังมีความท้าทายในด้านการสร้างแรงงานที่มีทักษะสูงและการพัฒนากฎหมายที่รองรับเทคโนโลยี AI
  • ประเทศไทยยังต้องการการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้งาน AI ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ

ส่วนภาคอุตสาหกรรม AI ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐและเอกชน เนื่องจากเทคโนโลยี AI สามารถมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและบริการต่างๆ อุตสาหกรรม AI ในไทยสามารถแบ่งออกเป็นหลายด้านสำคัญ

ในภาคธุรกิจและการบริการ

  • การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics): AI ถูกนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในการทำนายแนวโน้มตลาด การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจต่างๆ
  • การใช้ Chatbots และ AI ในการบริการลูกค้า: ธุรกิจหลายแห่งในไทยเริ่มนำ Chatbots และระบบ AI มาใช้ในการตอบคำถามหรือให้บริการลูกค้า โดยเฉพาะในธุรกิจธนาคาร การท่องเที่ยว และการค้าปลีก
  • ระบบแนะนำ (Recommendation Systems): ใช้ AI ในการแนะนำสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมกับลูกค้าตามข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากการใช้งาน

ในอุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing)

  • การผลิตอัจฉริยะ (Smart Manufacturing): AI ถูกนำมาใช้ในโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เช่น การควบคุมคุณภาพอัตโนมัติ การวิเคราะห์และคาดการณ์ความต้องการผลิต การจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain) อย่างมีประสิทธิภาพ
  • หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ: การใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะและระบบอัตโนมัติในสายการผลิต เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และลดข้อผิดพลาดในการผลิต
  •  ในการเกษตร (Agri Tech)
  • การเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture): AI ถูกนำมาใช้ในการตรวจจับและคาดการณ์ผลผลิตเกษตรกรรม เช่น การใช้โดรนและเซ็นเซอร์เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการปลูกพืชและการดูแลพืช
  • การพยากรณ์ภัยธรรมชาติ: AI ยังช่วยในการพยากรณ์สภาพอากาศและภัยธรรมชาติที่จะมีผลกระทบต่อการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรสามารถเตรียมตัวและปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงที

ในการแพทย์ (Health Tech)

  • การวินิจฉัยโรค: AI ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ภาพถ่ายทางการแพทย์ (Medical Imaging) การวินิจฉัยโรคด้วยเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย
  • การดูแลสุขภาพอัจฉริยะ (Smart Healthcare): AI ช่วยในการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สามารถติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยได้แบบเรียลไทม์ เช่น การใช้ Wearable Devices เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากร่างกาย

ในการเงิน (FinTech)

  • การตรวจจับการทุจริต (Fraud Detection): AI ถูกนำมาใช้ในการตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัยและการทุจริตในธุรกรรมทางการเงิน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลการทำธุรกรรมและการประมวลผลการชำระเงิน
  • การให้คำแนะนำทางการเงิน: การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินและให้คำแนะนำที่เหมาะสมแก่ลูกค้าเกี่ยวกับการลงทุนและการบริหารจัดการเงิน

ในการขนส่ง (Transport & Logistics)

  • ยานยนต์อัจฉริยะ (Autonomous Vehicles): มีการพัฒนาและทดสอบยานยนต์ไร้คนขับที่ใช้ AI ในการขับเคลื่อน ซึ่งในประเทศไทยมีการเริ่มต้นทดสอบในบางพื้นที่และบางกลุ่มอุตสาหกรรม
  • การจัดการโลจิสติกส์: AI ถูกนำมาใช้ในการจัดการและวางแผนเส้นทางขนส่งสินค้า เช่น การคำนวณเส้นทางที่เร็วที่สุด การจัดการสินค้าคงคลัง และการคาดการณ์ความต้องการสินค้า

สตาร์ทอัพ AI ในประเทศไทย

  • ปัจจุบันมี สตาร์ทอัพ AI หลายแห่งในประเทศไทยที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยี AI ในหลากหลายด้าน เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชัน AI สำหรับธุรกิจ SMEs การพัฒนา AI สำหรับการท่องเที่ยวและการบริการต่างๆ ซึ่งช่วยผลักดันให้ตลาด AI ในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุน

  • การลงทุนใน R&D: อุตสาหกรรม AI ในประเทศไทยยังมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน
  • โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI: ประเทศไทยกำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของ AI เช่น การพัฒนาเครือข่าย 5G, การส่งเสริมการใช้คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) และการสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center)

ความท้าทายการพัฒนาของ AI ในประเทศ

แม้ว่าการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ในประเทศไทยจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีความท้าทายในหลายด้าน เช่น การพัฒนาทักษะและการฝึกอบรมบุคลากรในด้าน AI, การขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค, และการจัดการด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยข้อมูล (Data Privacy & Security)

 

AI (Artificial Intelligence) ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงโลกในทุกมิติ

 

ความเสี่ยงของ AI  ในอนาคตเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายทั้งภาครัฐ, ภาคธุรกิจ, และนักวิจัยกังวล เนื่องจากการพัฒนาและใช้งาน AI ที่ไม่ถูกต้องหรือไร้การควบคุมอาจนำไปสู่ผลกระทบในหลายด้าน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นความเสี่ยงหลักๆ ได้ประมาณ 7 ข้อ คือ

1. การสูญเสียงานและผลกระทบต่อการจ้างงาน

  • การแทนที่งานของมนุษย์: AI สามารถทำงานบางประเภทแทนมนุษย์ได้ เช่น งานที่ซ้ำซากหรืองานที่ต้องการการคำนวณที่แม่นยำ ดังนั้นอาจทำให้คนที่ทำงานในสาขาดังกล่าวต้องสูญเสียงาน หรือไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลง
  • ความท้าทายในการปรับทักษะ: แม้ว่าบางอุตสาหกรรมอาจมีความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงในการทำงานกับ AI แต่แรงงานที่ไม่มีทักษะเหล่านี้อาจจะไม่สามารถหางานใหม่ได้หรือไม่สามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงได้

2. ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยข้อมูล

  • การละเมิดความเป็นส่วนตัว: AI มักใช้ข้อมูลจำนวนมากในการเรียนรู้และทำงาน หากข้อมูลเหล่านั้นถูกเก็บหรือประมวลผลโดยที่ไม่มีการปกป้องที่เหมาะสม อาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้คน
  • การโจมตีทางไซเบอร์: ระบบ AI อาจเป็นเป้าหมายในการโจมตีจากแฮกเกอร์เพื่อควบคุมหรือทำลายระบบ ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยในการใช้ AI เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

3. อคติในระบบ AI

  • อคติในข้อมูล: AI เรียนรู้จากข้อมูลที่ได้รับ หากข้อมูลเหล่านั้นมีอคติ เช่น ข้อมูลที่มีอคติทางเชื้อชาติ เพศ หรือสังคม ระบบ AI อาจทำการตัดสินใจที่ไม่เป็นธรรมและสร้างผลลัพธ์ที่อาจไม่ยุติธรรม
  • การตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส: ในบางกรณี AI อาจไม่สามารถอธิบายวิธีการตัดสินใจของมันได้ ซึ่งทำให้การใช้งาน AI ในบางสถานการณ์อาจเป็นปัญหาทางจริยธรรม เช่น การใช้ AI ในการพิจารณาคดีทางกฎหมายหรือการให้สินเชื่อ

4. การพัฒนา AI ที่ไม่มีการควบคุม

  • การใช้ AI ในการทหาร: การพัฒนา AI สำหรับการทหาร เช่น ยานยนต์ไร้คนขับหรือหุ่นยนต์ทหารอาจนำไปสู่การใช้เทคโนโลยีในทางที่ไม่เหมาะสมและเสี่ยงต่อการเกิดสงครามหรือการทำลายล้าง
  • AI ที่ไม่สามารถควบคุมได้: หาก AI พัฒนาจนสามารถเรียนรู้และตัดสินใจได้โดยอิสระ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงหากไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม หรือหากระบบ AI ทำการตัดสินใจที่ขัดแย้งกับประโยชน์ของมนุษย์

5. ความเสี่ยงด้านการพึ่งพา AI มากเกินไป

  • การพึ่งพา AI ในชีวิตประจำวัน: การพึ่งพา AI ในการตัดสินใจในชีวิตประจำวันอาจทำให้ผู้คนสูญเสียความสามารถในการคิดและตัดสินใจด้วยตนเอง เช่น การใช้ AI ในการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดในการเดินทางหรือการซื้อสินค้าจนทำให้ไม่สามารถตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่ปกติได้
  • การขาดการควบคุมจากมนุษย์: หากระบบ AI ถูกใช้ในด้านที่สำคัญและมีผลกระทบสูง เช่น การแพทย์ การขนส่ง หรือการรักษาความปลอดภัย หากไม่มีการควบคุมจากมนุษย์อย่างรอบคอบ อาจเกิดความผิดพลาดที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง

6. ปัญหาทางจริยธรรมและสังคม

  • การตัดสินใจที่ไม่ยุติธรรม: การใช้ AI ในการตัดสินใจที่สำคัญ เช่น การเลือกผู้สมัครงาน การให้สินเชื่อ หรือการตัดสินคดีอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่เป็นธรรม หรือเป็นการยุติธรรมเพียงบางกลุ่มคน
  • การยอมรับจากสังคม: สังคมอาจมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการพัฒนา AI ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ หรืออาจไม่เข้าใจถึงวิธีการที่ AI ตัดสินใจ ซึ่งอาจสร้างความไม่ไว้วางใจจากประชาชน

7. การใช้ AI ในทางที่ผิด

  • การใช้ AI ในการหลอกลวงและสร้างข้อมูลปลอม: การใช้ AI เพื่อสร้างข่าวปลอม (Fake News), ภาพปลอม (Deepfakes), หรือการโจรกรรมข้อมูล (Phishing) อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสังคมและการเมือง
  • การควบคุมหรือใช้อำนาจจากบางกลุ่ม: AI อาจถูกใช้เพื่อควบคุมหรือบิดเบือนข้อมูลและความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ หรือแม้แต่ในการเลือกตั้ง

มุมมองการเติบโตของ AI ในประเทศไทยกำลังเป็นไปอย่างมีทิศทางที่ดี โดยภาครัฐ ภาคธุรกิจ และสถาบันการศึกษาต่างร่วมมือกันในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง