ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ, การนำ AI มาใช้มีความน่าสนใจในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป ในประเทศไทย AI เริ่มได้รับการนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจการเงิน การผลิต และการเกษตร ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงาน ในขณะที่ประเทศที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีสูงอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน กำลังเร่งพัฒนา AI เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการในด้านต่างๆ เช่น การขนส่ง, การแพทย์, และการสร้างเมืองอัจฉริยะ โดยมีการนำ AI มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และระบบอัตโนมัติที่ทำให้ชีวิตของผู้คนสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
ด้วยความสามารถของ AI ที่สามารถปรับตัวและเรียนรู้จากข้อมูล ทำให้มันกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาโลกในอนาคต ในขณะที่ยังมีข้อจำกัดและความท้าทายในการใช้งานที่ต้องมีการควบคุมและพัฒนาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ AI สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่และปลอดภัย
ภาคการผลิต: AI มีการนำไปใช้ในภาคการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น การใช้หุ่นยนต์ในสายการผลิต การใช้ AI ในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและการคำนวณการผลิตที่เหมาะสม
การเกษตร: การใช้ AI ในการเกษตร เช่น การใช้โดรนเพื่อสำรวจพืชผลและการคาดการณ์ผลผลิต หรือการใช้ AI ในการควบคุมสภาพแวดล้อมของพืช ช่วยให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรได้อย่างมี
การแพทย์: AI เริ่มได้รับการนำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ การช่วยในการวินิจฉัยโรคผ่านการอ่านภาพถ่ายทางการแพทย์ (Medical Imaging) หรือการทำนายโรคที่อาจเกิดขึ้น
ความน่าสนใจของ AI ในต่างประเทศ
การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
สหรัฐอเมริกา: เป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI โดยเฉพาะในด้านของ Google, Amazon, Apple, Facebook และ Microsoft ที่ใช้ AI ในหลายด้าน เช่น การพัฒนาเครื่องมือค้นหาข้อมูล การทำงานของ Cloud Computing การสร้างหุ่นยนต์อัจฉริยะ และระบบแนะนำสินค้าของ Amazon
จีน: จีนมีการลงทุนอย่างหนักในด้าน AI โดยเน้นที่การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) และการใช้ AI ในการตรวจสอบความปลอดภัย การพัฒนาระบบการเงินดิจิทัล (FinTech) และการสร้างยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicles) โดยมีบริษัทอย่าง Baidu, Alibaba, และ Tencent ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI
การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่างๆ
ภาคการแพทย์: ในประเทศที่พัฒนาแล้ว AI ถูกใช้ในการวินิจฉัยโรค การพัฒนาเครื่องมือเพื่อรักษาโรค เช่น IBM Watson ที่ช่วยให้การวินิจฉัยโรคมะเร็งมีความแม่นยำมากขึ้น รวมถึงการใช้ AI ในการพัฒนาอุปกรณ์การแพทย์อัจฉริยะ
การผลิตและหุ่นยนต์: การใช้ AI ในการผลิต (Industry 4.0) และการพัฒนาหุ่นยนต์อัจฉริยะที่สามารถทำงานทดแทนมนุษย์ในโรงงานได้ เช่น การใช้หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในเยอรมนี
การกำหนดกฎเกณฑ์การใช้ AI: หลายประเทศเริ่มมีกฎหมายที่ควบคุมการใช้ AI โดยเฉพาะในสหภาพยุโรปที่มีการกำหนด General Data Protection Regulation (GDPR) เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในระบบ AI
AI ในการตรวจสอบและการประเมิน: มีการใช้ AI เพื่อช่วยในการตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือการบริการในหลายๆ อุตสาหกรรม รวมถึงการใช้ AI ในการตรวจสอบความโปร่งใสในองค์กร
ความท้าทายระดับโลก
การทำงานร่วมกันระหว่างประเทศ: ปัญหาเรื่องความแตกต่างของกฎหมายที่ควบคุมการใช้ AI ระหว่างประเทศต่างๆ อาจส่งผลต่อการพัฒนาและการนำเทคโนโลยี AI ไปใช้ในระดับสากล
ผลกระทบทางสังคม: การใช้ AI ในการแทนที่งานของมนุษย์อาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจในบางอุตสาหกรรม
เมื่อเปรียบเทียบมุมมองทั้งในประเทศ และต่างประเทศแล้ว เราลองมองมาในส่วนการเติบโตของ AI ในประเทศไทย กำลังได้รับความสนใจและพัฒนาอย่างรวดเร็วในหลายปีที่ผ่านมา โดยมีการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนในหลากหลายด้าน ทั้งนี้ อาจกล่าวถึงการเติบโตของ AI ในประเทศไทยได้ในหลายมิติ
1. นโยบายของภาครัฐ
ในปี 2019 รัฐบาลไทยได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์ AI 4.0 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาและนำ AI มาใช้ในภาคธุรกิจ การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงการปรับใช้ในภาครัฐเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
การจัดตั้ง สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา AI และสนับสนุนการใช้ AI ในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมต่างๆ
การจัดตั้ง ศูนย์วิจัยและพัฒนา AI เช่น ศูนย์วิจัย AI ของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เป็นแหล่งพัฒนาเทคโนโลยี AI และการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ
3. การลงทุนและการใช้งาน AI ในภาคธุรกิจ
บริษัทไทยหลายแห่งเริ่มนำ AI มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data), การพัฒนาบริการลูกค้าโดยใช้ Chatbot หรือระบบแนะนำสินค้า
ธุรกิจสตาร์ทอัพด้าน AI ก็มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดยเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้ AI เช่น การวิเคราะห์ตลาด, ระบบอัตโนมัติ, และเทคโนโลยีการรู้จำภาพ
4. การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ AI
มีการเปิดหลักสูตรออนไลน์และคอร์สการฝึกอบรมในด้าน AI เช่น Coursera, Udemy, หรือมหาวิทยาลัยในไทยที่มีหลักสูตรพัฒนาทักษะ AI
หน่วยงานต่างๆ ได้เริ่มจัดกิจกรรม เช่น hackathon หรือการแข่งขันด้าน AI เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ในกลุ่มนักศึกษาและบุคคลทั่วไป
5. ความท้าทายและโอกาส
แม้ว่า AI จะเติบโตในไทย แต่ยังมีความท้าทายในด้านการสร้างแรงงานที่มีทักษะสูงและการพัฒนากฎหมายที่รองรับเทคโนโลยี AI
ประเทศไทยยังต้องการการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้งาน AI ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ
ส่วนภาคอุตสาหกรรม AI ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐและเอกชน เนื่องจากเทคโนโลยี AI สามารถมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและบริการต่างๆ อุตสาหกรรม AI ในไทยสามารถแบ่งออกเป็นหลายด้านสำคัญ
ในภาคธุรกิจและการบริการ
การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics): AI ถูกนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในการทำนายแนวโน้มตลาด การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจต่างๆ
การใช้ Chatbots และ AI ในการบริการลูกค้า: ธุรกิจหลายแห่งในไทยเริ่มนำ Chatbots และระบบ AI มาใช้ในการตอบคำถามหรือให้บริการลูกค้า โดยเฉพาะในธุรกิจธนาคาร การท่องเที่ยว และการค้าปลีก
ระบบแนะนำ (Recommendation Systems): ใช้ AI ในการแนะนำสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมกับลูกค้าตามข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากการใช้งาน
การดูแลสุขภาพอัจฉริยะ (Smart Healthcare): AI ช่วยในการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สามารถติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยได้แบบเรียลไทม์ เช่น การใช้ Wearable Devices เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากร่างกาย
ในการเงิน (FinTech)
การตรวจจับการทุจริต (Fraud Detection): AI ถูกนำมาใช้ในการตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัยและการทุจริตในธุรกรรมทางการเงิน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลการทำธุรกรรมและการประมวลผลการชำระเงิน
การให้คำแนะนำทางการเงิน: การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินและให้คำแนะนำที่เหมาะสมแก่ลูกค้าเกี่ยวกับการลงทุนและการบริหารจัดการเงิน
ในการขนส่ง (Transport & Logistics)
ยานยนต์อัจฉริยะ (Autonomous Vehicles): มีการพัฒนาและทดสอบยานยนต์ไร้คนขับที่ใช้ AI ในการขับเคลื่อน ซึ่งในประเทศไทยมีการเริ่มต้นทดสอบในบางพื้นที่และบางกลุ่มอุตสาหกรรม
การจัดการโลจิสติกส์: AI ถูกนำมาใช้ในการจัดการและวางแผนเส้นทางขนส่งสินค้า เช่น การคำนวณเส้นทางที่เร็วที่สุด การจัดการสินค้าคงคลัง และการคาดการณ์ความต้องการสินค้า
สตาร์ทอัพ AI ในประเทศไทย
ปัจจุบันมี สตาร์ทอัพ AI หลายแห่งในประเทศไทยที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยี AI ในหลากหลายด้าน เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชัน AI สำหรับธุรกิจ SMEs การพัฒนา AI สำหรับการท่องเที่ยวและการบริการต่างๆ ซึ่งช่วยผลักดันให้ตลาด AI ในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุน
การลงทุนใน R&D: อุตสาหกรรม AI ในประเทศไทยยังมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน
ความเสี่ยงของ AI ในอนาคตเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายทั้งภาครัฐ, ภาคธุรกิจ, และนักวิจัยกังวล เนื่องจากการพัฒนาและใช้งาน AI ที่ไม่ถูกต้องหรือไร้การควบคุมอาจนำไปสู่ผลกระทบในหลายด้าน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นความเสี่ยงหลักๆ ได้ประมาณ 7 ข้อ คือ
1. การสูญเสียงานและผลกระทบต่อการจ้างงาน
การแทนที่งานของมนุษย์: AI สามารถทำงานบางประเภทแทนมนุษย์ได้ เช่น งานที่ซ้ำซากหรืองานที่ต้องการการคำนวณที่แม่นยำ ดังนั้นอาจทำให้คนที่ทำงานในสาขาดังกล่าวต้องสูญเสียงาน หรือไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลง
ความท้าทายในการปรับทักษะ: แม้ว่าบางอุตสาหกรรมอาจมีความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงในการทำงานกับ AI แต่แรงงานที่ไม่มีทักษะเหล่านี้อาจจะไม่สามารถหางานใหม่ได้หรือไม่สามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงได้
การละเมิดความเป็นส่วนตัว: AI มักใช้ข้อมูลจำนวนมากในการเรียนรู้และทำงาน หากข้อมูลเหล่านั้นถูกเก็บหรือประมวลผลโดยที่ไม่มีการปกป้องที่เหมาะสม อาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้คน
การโจมตีทางไซเบอร์: ระบบ AI อาจเป็นเป้าหมายในการโจมตีจากแฮกเกอร์เพื่อควบคุมหรือทำลายระบบ ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยในการใช้ AI เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
3. อคติในระบบ AI
อคติในข้อมูล: AI เรียนรู้จากข้อมูลที่ได้รับ หากข้อมูลเหล่านั้นมีอคติ เช่น ข้อมูลที่มีอคติทางเชื้อชาติ เพศ หรือสังคม ระบบ AI อาจทำการตัดสินใจที่ไม่เป็นธรรมและสร้างผลลัพธ์ที่อาจไม่ยุติธรรม
การตัดสินใจที่ไม่โปร่งใส: ในบางกรณี AI อาจไม่สามารถอธิบายวิธีการตัดสินใจของมันได้ ซึ่งทำให้การใช้งาน AI ในบางสถานการณ์อาจเป็นปัญหาทางจริยธรรม เช่น การใช้ AI ในการพิจารณาคดีทางกฎหมายหรือการให้สินเชื่อ
4. การพัฒนา AI ที่ไม่มีการควบคุม
การใช้ AI ในการทหาร: การพัฒนา AI สำหรับการทหาร เช่น ยานยนต์ไร้คนขับหรือหุ่นยนต์ทหารอาจนำไปสู่การใช้เทคโนโลยีในทางที่ไม่เหมาะสมและเสี่ยงต่อการเกิดสงครามหรือการทำลายล้าง
AI ที่ไม่สามารถควบคุมได้: หาก AI พัฒนาจนสามารถเรียนรู้และตัดสินใจได้โดยอิสระ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงหากไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม หรือหากระบบ AI ทำการตัดสินใจที่ขัดแย้งกับประโยชน์ของมนุษย์
5. ความเสี่ยงด้านการพึ่งพา AI มากเกินไป
การพึ่งพา AI ในชีวิตประจำวัน: การพึ่งพา AI ในการตัดสินใจในชีวิตประจำวันอาจทำให้ผู้คนสูญเสียความสามารถในการคิดและตัดสินใจด้วยตนเอง เช่น การใช้ AI ในการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดในการเดินทางหรือการซื้อสินค้าจนทำให้ไม่สามารถตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่ปกติได้
การขาดการควบคุมจากมนุษย์: หากระบบ AI ถูกใช้ในด้านที่สำคัญและมีผลกระทบสูง เช่น การแพทย์ การขนส่ง หรือการรักษาความปลอดภัย หากไม่มีการควบคุมจากมนุษย์อย่างรอบคอบ อาจเกิดความผิดพลาดที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง
6. ปัญหาทางจริยธรรมและสังคม
การตัดสินใจที่ไม่ยุติธรรม: การใช้ AI ในการตัดสินใจที่สำคัญ เช่น การเลือกผู้สมัครงาน การให้สินเชื่อ หรือการตัดสินคดีอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่เป็นธรรม หรือเป็นการยุติธรรมเพียงบางกลุ่มคน
การยอมรับจากสังคม: สังคมอาจมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการพัฒนา AI ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ หรืออาจไม่เข้าใจถึงวิธีการที่ AI ตัดสินใจ ซึ่งอาจสร้างความไม่ไว้วางใจจากประชาชน
7. การใช้ AI ในทางที่ผิด
การใช้ AI ในการหลอกลวงและสร้างข้อมูลปลอม: การใช้ AI เพื่อสร้างข่าวปลอม (Fake News), ภาพปลอม (Deepfakes), หรือการโจรกรรมข้อมูล (Phishing) อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสังคมและการเมือง
การควบคุมหรือใช้อำนาจจากบางกลุ่ม: AI อาจถูกใช้เพื่อควบคุมหรือบิดเบือนข้อมูลและความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ หรือแม้แต่ในการเลือกตั้ง
มุมมองการเติบโตของ AI ในประเทศไทยกำลังเป็นไปอย่างมีทิศทางที่ดี โดยภาครัฐ ภาคธุรกิจ และสถาบันการศึกษาต่างร่วมมือกันในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง