ท่านผู้อ่านอาจจะได้ยินข่าวการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่โตรั้งท้ายกลุ่มประเทศในอาเซียน โดยเศรษฐกิจไทยในปี 2024 เติบโตที่ประมาณร้อยละ 2.5 และดีกว่าแค่ประเทศเดียว คือ เมียนมาที่เศรษฐกิจเติบโตร้อยละ 2.3 ในขณะที่ประเทศในอาเซียนอื่นๆ มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ คือ เวียดนามเศรษฐกิจเติบโตสูงที่สุดที่ร้อยละ 6.4 ตามด้วยฟิลิปปินส์ เติบโตร้อยละ 6.0 กัมพูชา มาเลเซีย เติบโตร้อยละ 5.0 อินโดนิเชีย เติบโตร้อยละ 5.0 และสิงค์โปร์ที่เติบโตร้อยละ 4.0
เพื่อที่จะสะท้อนสถานการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผู้เขียนได้ทำการศึกษาการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และทำการเปรียบเทียบทิศทางการเจริญเติบโตของไทยและกลุ่มประเทศในอาเซียนที่มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน เพื่อถอดเป็นบทเรียนว่าสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร
การเปรียบเทียบในครั้งนี้ ใช้ดัชนีประเมิน คือ GNI per capita (Atlas Method) หรือก็คือ รายได้ต่อหัวประชากรคิดในมูลค่าที่เป็นตัวเงินโดยลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน (ขอเรียกสั้นๆ ว่า รายได้ต่อหัว) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดที่ทางธนาคารโลกใช้ในการประเมินว่าประเทศมีรายได้สูงต่ำมากน้อยเพียงใด
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ยังได้มีการแยกศึกษาออกเป็น 4 ช่วงเวลา ซึ่งถูกแบ่งออกโดยวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่ได้เกิดขึ้น 3 ครั้งในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ วิกฤติการณ์ทางการเงินเอเชีย 1997 วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ของสหรัฐฯ ปี 2007 และวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปี 2020 ภายใต้สมมติฐานที่ว่าการเติบโตในแต่ละช่วงเวลาจะมีความแตกต่างกันในช่วงก่อนและหลังวิกฤติการณ์ในแต่ละครั้ง
ผลการศึกษาพบว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมานั้น รายได้ต่อหัวของเศรษฐกิจโลกเติบโตที่ประมาณร้อยละ 3.5 ต่อปี โดยในแต่ละช่วงเวลาจะมีการเติบโตที่แตกต่างกัน (ดังที่ปรากฎในตารางด้านล่าง) ทั้งนี้ ในภาพรวมจะพบว่ากลุ่มประเทศที่รายได้ปานกลางขั้นสูงจะมีการเติบโตโดยเฉลี่ยที่สูงกว่ากลุ่มรายได้สูง สะท้อนการเติบโตแบบไล่กวดของประเทศกลุ่มปานกลางขั้นสูงที่กำลังไล่ตามกลุ่มรายได้สูงเรื่อยๆ
หากพิจารณาเฉพาะกลุ่มรายได้สูง จะพบว่า ในแต่ละช่วงเวลาจะมีผู้นำการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เช่น ช่วงปี 1993-1997 สิงค์โปร์และเกาหลีใต้จะมีการเติบโตที่สูงมากกว่าค่าเฉลี่ย ในขณะที่ช่วงปี 2000-2008 การเติบโตที่สูงจะมาจากสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ สำหรับปี 2010-2019 การเติบโตที่สูงจะมาจากสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ในขณะที่ช่วงปี 2021-2023 หรือยุคหลังโควิด-19 นั้น การเติบโตที่สูงจะมาจากสหรัฐฯ
ลำดับต่อมา ผู้เขียนทำการประเมินความเร็วในการไล่กวดกลุ่มประเทศรายได้สูง โดยแบ่งประเทศออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ไล่กวดอย่างรวดเร็ว จะเป็นประเทศที่มีการเติบโตของรายได้ต่อหัวที่สูงกว่ากลุ่มประเทศรายได้สูง และสูงกว่ากลุ่มประเทศรายได้ปานกลางขั้นสูง ในขณะที่กลุ่มประเทศที่ไล่กวดอย่างช้าๆ จะมีการเติบโตของรายได้ต่อหัวที่สูงกว่ากลุ่มประเทศรายได้สูงเท่านั้น และกลุ่มประเทศที่ไล่ตามไม่ทัน คือ กลุ่มประเทศที่การเติบโตของรายได้ต่อหัวอยู่ต่ำกว่ากลุ่มประเทศรายได้สูง
สำหรับประเทศไทย ผลการคำนวณพบว่าประเทศไทยไม่เคยมียุคทองเลยในทั้ง 4 ช่วงเวลา โดยการเติบโตที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นการเติบโตแบบไล่ตามประเทศรายได้สูงแบบช้าๆ เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นคือ ในช่วงเวลาล่าสุด หรือในยุคหลัง โควิด-19 นี้เองที่การเติบโตของรายได้ต่อหัวของไทยตกชั้นลงไปอยู่ในระดับที่จะไม่สามารถไล่ตามกลุ่มประเทศรายได้สูงได้ทัน
การเติบโตเฉลี่ยของรายได้ต่อหัวที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.8 ต่อปี เป็นสิ่งที่น่ากังวลใจมาก ด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ คือ
หนึ่ง การเติบโตของรายได้ต่อหัวที่ร้อยละ 0.8 ต่อปีในช่วงหลังโควิด-19 มีค่าที่ต่ำกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือ GDP ที่อยู่ประมาณร้อยละ 2.3-2.5 ในช่วงหลังโควิด-19 นั่นคือ มาตรวัดที่ใช้ในการประเมินการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ได้สะท้อนถึงสถานการณ์การพัฒนาที่ย่ำแย่กว่ามาก
สอง การเติบโตในช่วงระหว่างปี 2019-2023 มีรากฐานมาจากการเติบโตแบบฉาบฉวยด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินภายใต้หลักคิดเรื่องการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” เช่น พ.ร.ก. กู้เงิน 1.5 ล้านล้านบาทเพื่อต่อสู้กับโควิดของรัฐบาลที่ผ่านมา และโครงการแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาลนี้ รวมถึงโครงการ/มาตรการอื่นๆ ที่ก่อหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 41 ต่อ GDP ในปี 2019 มาสู่ระดับร้อยละ 62 ต่อ GDP ในปี 2024 และมีการวางแผนที่จะใช้จ่ายในอนาคตจนคาดว่าจะก่อหนี้ไปจนถึงระดับร้อยละ 69 ต่อ GDP ในกรอบ 5 ปีข้างหน้า อีกทั้งยังพิจารณาปรับเพิ่มเพดานหนี้ให้สูงมากขึ้นไปอีก
แต่ผลลัพธ์ของการดำเนินการก่อหนี้ข้างต้นกลับไม่สามารถผลักดันให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนได้ โดยการเติบโตของรายได้ต่อหัวประชากรกลุ่มเติบโตเพียงร้อยละ 0.8 ทั้งๆ ที่ถ้านำเอาระดับหนี้สาธารณะที่ก่อเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ต่อ GDP มาหารเฉลี่ยใช้ระหว่างปี 2019-2023 น่าจะสร้าง GDP ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 4 ต่อปี (คิดง่ายๆ แบบกู้เอาเงินมาแจกตรงๆ)
หลักฐานในส่วนนี้สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยไม่สามารถที่จะใช้การกระตุ้นเศรษฐกิจที่หวังเพียงผลในระยะสั้นจะสามารถแก้ไขปัญหาได้อีกต่อไปแล้ว และมีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่งยวดที่ไทยจะต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับโลกยุคหลัง โควิด-19 ให้สามารถกลับขึ้นไปอยู่ในเส้นทางของการเติบโตที่ไล่กวดกลุ่มประเทศรายได้สูงให้ได้
สาม สถานการณ์การเมืองไทยที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยการเมืองไทยกลายเป็นแหล่งสร้างปัญหาในตัวของมันเอง และกลายเป็นตัวดึงความสนใจของทุกภาคส่วนไปกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นทางด้านการเมือง จนหลงลืมไปถึงปัญหาที่สำคัญ คือ วิกฤติการณ์ทางด้านเศรษฐกิจของไทยที่ได้มาถึงแล้ว พายุที่รุนแรงด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกได้พาดผ่านเข้ามาสู่ไทยแล้ว แต่คนไทยเรากลับยังไม่สามารถรวมพลังเพื่อร่วมกันวางแผนและหาทางออกที่จะเอาตัวรอดจากวิกฤตินี้ให้ได้