ก่อนหน้าเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัล ทรัมป์ ราวๆ ต้นเดือนมกราคม สายข่าวของผมที่เป็นชาวกระเหรี่ยง ที่มักจะส่งข่าวมาพูดคุยกับผมเป็นประจำ ได้โทรศัพท์มาหาผม และเล่าถึงความกังวลใจว่า หากโดนัล ทรัมป์ ขึ้นรับตำแหน่ง ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา แล้วใช้นโยบาย “American First” ประชาชนชาวเมียนมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชนพลัดถิ่นหรือกลุ่มผู้ลี้ภัย ที่อยู่ตามค่ายอพยพ คงจะตกที่นั่งลำบากแน่นอน ซึ่งในตอนนั้นผมก็ได้แต่บอกว่า ใจเย็นๆ อะไรที่ยังไม่เกิดก็อย่าเพิ่งร้อนใจ กังวลใจไปก็เปล่าประโยชน์ ให้รอดูไปก่อนเถอะ
ต่อมาหลังจากที่โดนัล ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง เราก็ได้เห็นการจับกุมกลุ่มที่เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย หรือ “กลุ่มโรบินฮู้ดหรือกลุ่มคนที่วีซ่าขาด” โดยเฉพาะชาวแมกซิกันและชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ทำการหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และมีการส่งตัวกลับประเทศไปโดยเครื่องบินลำเลียงพล C-130 อย่างมากมาย ตามสื่อต่างๆ ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนบางสื่อ ก็ออกมาสมน้ำหน้ากลุ่มคนที่ถูกจับกุมครั้งนี้เป็นอย่างมาก
แต่สิ่งหนึ่งที่ในอดีตที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกามักจะใช้เป็นเครื่องมือในการดึงเอาชนชาติอื่นๆ มาเข้าพวกเข้ากลุ่ม ก็คือ United States Agency for International development หรือที่เรียกว่า USAID ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ก็ได้ประกาศตัดความช่วยเหลือหรือสนับสนุนต่อประเทศเมียนมา ในด้านการแพทย์ การศึกษา การพัฒนาชุมชน การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ และผู้ที่ได้รับผลกระทบทางด้านการเมือง เช่นผู้ลี้ภัยทางการเมืองตามค่ายผู้ลี้ภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ๆ มีความเสี่ยงสูง
นอกจากนี้ เงินสนับสนุนอีกหลายประเภท เช่นเงินทุนของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และแรงงาน (Bureau of Democracy, Human Rights and Labor : DRL) และเงินทุนสนับสนุนสื่อมวลชนและประชาธิปไตย หรือที่เรียกว่า National Endowment for Democracy :NED ก็ถูกตัดความช่วยเหลือไปด้วยทั้งหมดเช่นกัน
สิ่งที่ตามมา แน่นอนย่อมเกิดปัญหาต่อผู้ลี้ภัย ในค่ายผู้ลี้ภัยที่มีอยู่อย่างมากมายตามชายแดนประเทศไทย-เมียนมา ซึ่งปัจจุบันนี้ มีมากกว่า 9 แห่งด้วยกัน เช่น ที่แม่ฮ่องสอน 4 แห่ง ได้แก่ ค่ายบ้านใหม่ในสอย ค่ายแม่สุริน ค่ายแม่ละอูน ค่ายแม่มาราหลวง และในจังหวัดตาก 4 แห่ง ค่ายแม่หละ อำเภอแม่ละมาด ค่ายแม่มะลิด ค่ายแม่ตาว อำเภอแม่สอด และค่ายอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง และที่จังหวัดกาญจนบุรีอีกหนึ่งแห่ง คือค่ายห้วยน้ำขาว อำเภอท่ามะกา รวมทั้งหมดมีผู้ลี้ภัยมากถึงเกือบหนึ่งแสนคน ต่างได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวทั้งสิ้น
เราต้องยอมรับกันว่า ในอดีตที่ผ่านมา กลุ่มผู้ลี้ภัยเหล่านี้ ต่างได้รับเงินช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะกล่าวอ้างว่า “ช่วยเหลือด้วยมนุษยธรรม” หรืออะไรก็ตาม ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม ผมคิดว่า “การให้ย่อมมีการหวังผลตอบแทนเสมอ” ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกว่าให้เพื่ออะไร แต่ผลที่ตามมาคือ ปัญหาของผู้ลี้ภัยตามชายแดนประเทศไทยเรา จึงไม่เลือนหายไปเสียที แม้สถานการณ์ในประเทศเมียนมาเอง ในยุคที่เฟืองฟูก่อนหน้านี้ไม่นานก็ไม่ได้จางหายไปเลย พี่น้องเราทุกคนที่อยู่ตามชายแดนต่างรู้ดีว่า ภาระการช่วยเหลือต่างๆ ที่ “ม้าอารีตัวนี้” ต้องแบกรับภาระอยู่ มีความหนักหลังหนักบ่ามากขนาดไหน
นี่คือที่ผ่านๆ มา รัฐบาลเกือบจะทุกยุคทุกสมัยต่างมีอาการน้ำท่วมปาก หรือไม่ก็เป็นใบ้กันไปหมดครับ
ในขณะที่โรงพยาบาลต่างๆตามชายแดน รัฐบาลไทยต้องทุ่มเงินงบประมาณลงไปมิใช่น้อย แม้จะทุ่มลงไปเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ เพราะเราต้องดูแลคนชาติพันธุ์ที่เป็นคนป่วยเข้ามารักษาพยาบาล โดยไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่า ใครจะเป็นคนไทยหรือคนเมียนมา เราก็ต้องให้การรักษาดูแลในลักษณะเดียวกันทั้งหมด ภาระอันหนักอึ้งนี้ ต้องไปสอบถามกับกลุ่มแพทย์ชายแดนจะทราบดีเลยละครับ
เมื่อสถานการณ์ความไม่สงบตามชายแดน ที่กำลังปะทุหนักในขณะนี้ บวกกับสถานการณ์เศรษฐกิจภายในของประเทศเมียนมา และการระงับการสนับสนุนทุกด้านของ USSAID และองค์กรอื่นๆที่เกิดขึ้น สิ่งที่จะต้องเป็นภาระต่อประเทศไทยต่อมา ก็คือ จะต้องมีคลื่นของการอพยพเข้ามาของผู้คนที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในปัจจุบัน เพิ่มมากขึ้นจากเดิมอีกอย่างแน่นอน คราวนี้คงจะชุลมุนชุลเกกันเพิ่มหนักขึ้นกว่าเดิมแน่นอน สิ่งที่น่ากังวลใจต่อมา คือปัญหาของการแพร่ระบาดของโรคภัยต่างๆ ที่ติดตามมากับผู้ลี้ภัย นี่คือปัญหาใหญ่หลวง ที่ซ่อนใว้ใต้ภูเขาน้ำแข็งเลยละครับ นอกจากนี้ปัญหาของการอพยพหลบหนีเข้าชั้นในของเมือง ก็จะเป็นอีกปัญหาหนึ่ง ที่รัฐบาลควรต้องคำนึงถึงให้มากๆ เพราะนั่นจะเป็นปัญหาที่สร้างให้เกิดต้นตอของปัญหาสังคมอนาคต ที่ไม่ว่าใครเข้ามาเป็นรัฐบาล จะต้องตามล้างตามเช็ดกันต่อไปครับ
เราคงจะต้องเตรียมตัวรับมือกับปัญหาเหล่านี้ ก่อนที่มันจะระเบิดขึ้นอีกระลอก ตัวผมเองและกลุ่มของสภาธุรกิจไทย-เมียนมา เราก็ได้มีการจัดสัมมนา เพื่อหาแนวทางในการป้องกัน โดยมีข้อมูลต่างๆและข้อสรุป ที่อยากจะนำเสนอต่อภาครัฐและกลุ่มประชาชนทั้งชั้นนอกขอบชายแดน และชั้นในที่อยู่ในเมืองใหญ่ต่างๆ แต่ด้วยเนื้อกระดาษจำกัด ผมต้องขออนุญาตยกยอดไปอาทิตย์หน้า เพื่อนำเสนอมาให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆได้อ่านและคิดตามนะครับ เรามาเจอกับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากกลุ่มสแกมเมอร์ผ่านไป นโยบายทรัมป์สอดแทรกเข้ามากันได้ในอาทิตย์หน้านะครับ