มาตรการ “สามตัด”....ส่งผลต่อเมียนมาอย่างไร?

10 ก.พ. 2568 | 06:00 น.

มาตรการ “สามตัด”....ส่งผลต่อเมียนมาอย่างไร? คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ในเช้าวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลา 09.00 น. ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ประกาศให้มีการตัดอินเทอร์เน็ต ตัดไฟฟ้า และตัดน้ำมันในพื้นที่ 5 จุดของชายแดนไทย-เมียนมา เชื่อว่าทุกท่านคงจะรับทราบข่าวนี้ไปกันหมดแล้ว ซึ่งตัวผมเองก็ได้ไปออกสื่อต่างๆ ที่มาขอสัมภาษณ์ไปหลายช่องทาง เพราะข่าวดังกล่าวนี้เป็นข่าวที่โด่งดังไปทั่วประเทศ ซึ่งผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวนี้ น่าจะสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คนและผู้ประกอบการค้าชายแดน ที่อยู่ตามชายแดนไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ผมต้องขออนุญาตพูดถึงปฐมเหตุ เพื่อให้ทุกท่านได้เข้าใจว่า สาเหตุหลักๆ นั้นเกิดจากอะไร? และใครบ้างเป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง? จะได้ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์และมองเห็นว่า อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้นะครับ 

สาเหตุที่ทำให้เมืองชเว โก๊กกู่ ในเขตเมืองเมียวดี ในรัฐกระเหรี่ยง ดังเป็นพลุแตกในวันนี้ ก็สืบเนื่องมาจากการโยกย้ายบ่อนกาสิโน ที่ชายแดนหลายๆ แห่งในเมียนมา มาสู่เมืองใหม่ชเว โก๊กกู่ จนทำให้เกิดปรากฎการณ์ “คนจีนต้มคนจีน” เกิดขึ้นนี่แหละครับ

ปรากฎการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา คาบเกี่ยวกับเดือนมกราคมของปีนี้ ได้มีปรากฎการณ์ของ “หวาง ซิง หรือ ซิง ซิง” เกิดขึ้น ต่อมาทางรัฐบาลจีน ก็ได้ส่งให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคง (公安局助理局長) มิสเตอร์ หลิว จง อี่ (劉忠義) เดินทางมาประเทศไทย

การมาในครั้งนี้ ได้ส่งผลให้ประเทศไทยเราหันมามองกลุ่มมิจฉาชีพหรือกลุ่มอาชญากรทางด้านเทคโนโลยีเป็นพิเศษ เพราะสื่อต่างๆ ได้เปิดคำให้สัมภาษณ์มิสเตอร์หลิว จง อี่ ที่เป็นภาพลบต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง ต่อมาในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ก็ได้มีมติครม. ออกมาว่า ให้ดำเนินการสามตัด ก็คือการตัดอินเทอร์เน็ต ตัดไฟฟ้า และตัดน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งทำให้ในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ได้ดำเนินการเลยทันที ได้สร้างความสั่นสะเทือนไปยังผู้คนที่อยู่ตามชายแดนเมียนมา-ไทยดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง

ในความคิดเห็นส่วนตัวผม ช่วงแรกที่มีผู้สื่อข่าวมาขอสัมภาษณ์ผม ผมก็คิดต่อไปเลยว่า นี่เป็นเรื่องใหญ่มากๆ ที่จะต้องมีผลกระทบออกมาเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศเมียนมายาวนานกว่าสามสิบห้าปี ผมก็เห็นด้วยกับนโยบายการปราบปรามกลุ่มอาชญากรทางด้านเทคโนโลยีเป็นอย่างยิ่ง เพราะกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนชาวจีนเท่านั้น

บางส่วนยังสร้างความเดือดร้อนมาสู่พี่-น้องคนไทยด้วยเช่นกัน ดังที่ข่าวคราวต่างๆ ที่เราได้รับทราบกันมาโดยทั่วกัน ดังนั้นหากการปราบปรามกลุ่มสแกมเมอร์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งทุกทาง เพียงแต่ผมอยากจะร้องขอไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ให้ช่วยกันคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาภายหลัง และความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างประเทศให้ดีก่อน เพราะการใช้มาตรการสามตัดนั้น ย่อมสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนที่ไม่มีส่วนร่วมหลายฝ่าย โดยเฉพาะประชาชนชาวเมียนมาบางกลุ่มที่ไม่มีส่วนร่วมเช่นกันครับ

เราไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า การตัดอินเทอร์เน็ตตามนโยบายของภาครัฐนั้น อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนธรรมดาทั่วไปมากนัก เพราะทางฝั่งของเมียนมาเอง ก็มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ส่งมาจากภายในประเทศเขาอยู่แล้ว และระบบอินเทอร์เน็ตของเมียนมา เขามีระบบ 4G ใช้ก่อนเราเสียอีก แต่กลุ่มสแกมเมอร์หรือคอลเซ็นเตอร์ทั้งหลาย ที่ได้มาใช้อินเทอร์เน็ตจากทางฝั่งประเทศไทยเรา ก็อาจจะเป็นเพราะเครือข่ายของเรามีความเสถียรมากกว่า หรือราคาที่ถูกกว่าของทางฝั่งประเทศเมียนมาเขาก็เป็นไปได้ครับ

ในขณะที่การตัดไฟฟ้านั้น กลุ่มสแกมเมอร์หรือกลุ่มอาชญากรทางด้านเทคโนโลยีข้ามชาติ เขาคงไม่ได้มีปัญหามากเท่าชาวบ้านตาดำๆ หรอกครับ เพราะกลุ่มพี่มิจ(มิจฉาชีพ)ทั้งหลาย เขามีการเตรียมการด้วยการมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ไว้สำรองมานานแล้ว ตั้งแต่เมื่อคราวที่เราตัดไฟฟ้าเขาเมื่อครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีการติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อเตรียมการไว้แล้วละครับ

ในขณะที่ชาวบ้านที่เป็นร้านค้าทั่วไป เขาก็มีแต่เครื่องปั่นไฟฟ้าตัวเล็กๆ ที่ใช้น้ำมันเบนซิน เป็นหลัก ส่วนชาวบ้านที่เป็นครัวเรือน เขาก็ไม่มีแม้แต่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าอะไรเลย ดังนั้นถ้าไม่มีไฟฟ้า เขาก็ต้องจุดเทียนไขหรืออยู่กันแบบมืดๆ เหมือนในอดีตกาลเท่านั้นแหละครับ แต่อย่างไรก็ตาม ในประเทศเมียนมาการไม่มีไฟฟ้าใช้ ถือเป็นเรื่องปกติมากๆ เลยครับ 

ต่อมาตัดตัวที่สามคือ ตัดน้ำมัน อันนี้แหละที่น่ากังวล เพราะอย่าลืมว่าการขนส่งทางรถยนต์ทุกคัน จะต้องใช้น้ำมันเป็นหลัก ชาวบ้านร้านรวงหากไม่มีน้ำมันใช้ เขาคงจะต้องลำบากต่อการที่สินค้าทุกประเภท จะต้องถูกขึ้นราคาโดยอัตโนมัติอย่างแน่นอน จะเห็นว่าก่อนมาตรการ “สามตัด” จะเริ่มดำเนินการ ราคาน้ำมันขายกันอยู่ที่ 3,650 จ๊าดต่อลิตร แต่หลังจากเริ่มดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ราคาน้ำมันก็กระโดดไปที่ 8,000 จ๊าดในเวลาต่อมาเลย จากนั้นก็เริ่มมีการกักตุนน้ำมันและสินค้าที่จำเป็นทันที นี่คือธรรมชาติของมนุษย์จริงๆ

สิ่งหนึ่งที่ผมเป็นกังวลใจมากที่สุด ในฐานะของคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ที่ประเทศเมียนมามีปัญหาการเปลี่ยนแปลงในหลายๆกรณี ผมเป็นกังวลใจว่าคนที่อยู่รักษาตัวในโรงพยาบาลในฝั่งชายแดนของประเทศเมียนมา เกรงว่าหากผู้ป่วยมีอาการที่หนักหน่วง จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษา ถ้าไม่มีไฟฟ้าและไม่มีน้ำมันที่จะเติมเครื่องปั่นไฟฟ้า จะเกิดการสูญเสียชีวิตของเพื่อนมนุษย์หรือไม่?  

หากผมคาดเดาไปข้างหน้าว่า ถ้าเราดึงเวลาการดำเนินการตามนโยบายนี้ต่อไป แล้วอะไรจะเกิดขึ้น? สิ่งแรกเลยที่อาจจะเกิดขึ้น คืออาจจะเกิดการโกลาหลอลหม่านในชายแดน อีกทั้งอาจจะมีการหลบหนีเข้ามาสู่ประเทศไทยมากยิ่งขึ้น แต่กลุ่มอาชญากรทางด้านเทคโนโลยี อาจจะขยับขยายโยกย้ายฐานไปที่อื่น ก็เสมือนมดแตกรังแต่ไม่ได้ล้มหายตายจากก็เป็นได้ครับ ดังนั้นถ้าหากเราจะปราบกลุ่มนี้ให้หมดสิ้นซาก เราควรต้องวางแผนกันให้ดีก่อน อย่าปล่อยให้เขากระจัดกระจายตัวออกไป แล้วเราจะยากในการกวาดล้างครับ