อนาคตของการสืบทอดธุรกิจครอบครัว ตอน 2

02 มี.ค. 2568 | 05:17 น.

อนาคตของการสืบทอดธุรกิจครอบครัว ตอน 2 : Family Business Thailand รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดีคณะวิทยพัฒน์และผู้อำนวยการศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย [email protected]

ด้วยเหตุที่ธุรกิจครอบครัวมักเผชิญความท้าทายด้านอารมณ์ความรู้สึกเมื่อต้องวางแผนสืบทอดกิจการ ดังนั้นบอร์ดบริหาร (โดยเฉพาะที่มีสมาชิกอิสระ) จึงมีบทบาทสำคัญในการออกแบบแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ เพราะบอร์ดสามารถมุ่งเน้นไปที่ผลกระทบจากการเปลี่ยนผู้นำและโครงสร้างความเป็นเจ้าของต่อธุรกิจ รวมถึงหาวิธีลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน เช่น ผลกระทบทางภาษีที่ไม่คาดคิดจากการเสียชีวิตของเจ้าของ

ขณะเดียวกันการสำรวจพบว่า คนรุ่นปัจจุบันมองเห็นความเสี่ยงต่อการเติบโตของธุรกิจสูงกว่ารุ่นใหม่ โดยเฉพาะในเรื่อง การจ้างและรักษาพนักงาน (23% vs 11%) ซึ่ง Diamond อธิบายว่าคนรุ่นเก่าที่ไม่คุ้นชินกับการทำงานแบบไฮบริดหรือการทำงานระยะไกลอาจกังวลเรื่องการจ้างและรักษาพนักงานมากกว่า

อนาคตของการสืบทอดธุรกิจครอบครัว ตอน 2

ขณะที่คนรุ่นใหม่มองว่าข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์ลดลงจะทำให้เข้าถึงคนเก่งได้มากขึ้น ส่วนเรื่องโครงสร้างเงินทุน (24% vs 16%) คนรุ่นปัจจุบันมักระมัดระวังการก่อหนี้และไม่เปิดรับนักลงทุนรายย่อย ขณะที่รุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์ จากแวดวงธุรกิจอื่นอาจคุ้นชินกับการระดมทุนหลากหลายรูปแบบ และในเรื่อง ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศต่อการดำเนินธุรกิจ (20% vs 12%)

รายงานของ Deloitte ชี้ว่ารุ่นใหม่อาจยังไม่ตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในอนาคต ซึ่งความเห็นต่างนี้เกิดจากประสบการณ์ทำงานที่แตกต่างกัน โดยคนรุ่นปัจจุบันเรียนรู้จากธุรกิจครอบครัวมายาวนาน ส่วนรุ่นใหม่ได้รับอิทธิพลจากการทำงานภายนอก การรวมเอามุมมองจากคนทั้งสองรุ่นเข้าด้วยกัน อาจช่วยสร้างสมดุลระหว่างความระมัดระวังของรุ่นเก่าและความเปิดกว้างของรุ่นใหม่ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้ยั่งยืน

สำหรับมุมมองของคนรุ่นใหม่ต่ออนาคตของธุรกิจครอบครัวขึ้นอยู่กับระดับการมีส่วนร่วมในด้านกลยุทธ์และการตัดสินใจ ผลสำรวจพบว่า คนรุ่นปัจจุบันมองว่าคนรุ่นใหม่มีบทบาทในการตัดสินใจสูงถึง 28% แต่คนรุ่นใหม่กลับรู้สึกเช่นนั้นเพียง 15% โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีรายได้น้อยกว่า 500 ล้านดอลลาร์ มีเพียง 7% ของคนรุ่นใหม่ที่รู้สึกว่าตนมีบทบาทจริงๆ

ซึ่งความต่างนี้อาจเกิดจากการตีความคำว่า “การมีส่วนร่วม” (Participation) และ “การมีส่วนเกี่ยวข้อง” (Engagement) ที่ไม่ตรงกัน เช่น คนรุ่นปัจจุบันอาจคิดว่าการให้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารคือการมีส่วนร่วม แต่สำหรับคนรุ่นใหม่แล้ว การมีส่วนร่วมที่แท้จริงคือการได้มีสิทธิ์ออกเสียงในการตัดสินใจ Diamond อธิบายว่า แม้คนรุ่นใหม่จะเข้าร่วมประชุมทุกครั้งแต่สุดท้ายผู้ตัดสินใจจริงๆ ก็ยังเป็นผู้นำรุ่นใหญ่ในครอบครัว

ดังนั้นการทำความเข้าใจความแตกต่างนี้ต้องอาศัยการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาภายในแต่ละครอบครัวธุรกิจ โดยมีทั้งผู้นำที่เป็นสมาชิกในครอบครัวและผู้นำที่ไม่ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพราะหากไม่มีการสื่อสารอย่างเปิดเผย ก็จะเป็นเพียงการคาดเดาเอาเองเท่านั้น การสื่อสารที่ต่อเนื่อง โปร่งใส และสร้างความไว้ใจคือกุญแจสำคัญ ผู้นำธุรกิจควรพยายามเข้าใจมุมมองที่หลากหลาย

ทั้งจากสมาชิกครอบครัว ผู้สืบทอดที่มีศักยภาพ และผู้บริหารที่ไม่ใช่สมาชิกครอบครัว ผ่านการตั้งสภาครอบครัว (Family Council) เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเซอร์ไพรส์เกี่ยวกับแผนและเป้าหมายขององค์กร เพราะการสื่อสารไม่ใช่แค่เพื่อรับรู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร แต่สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงคิดเช่นนั้นด้วย