KEY
POINTS
อยู่มาวันนี้ก็ให้คิดถึงท่านศิลปินคนสำคัญซึ่งล่วงลับดับขันไปในเวลาอันไม่ค่อยจะสมควร หวลคิดถึงฝีมือของท่านซึ่งสามารถวาดภาพสถานการณ์อันละเอียดพิธีการได้อย่างกระจ่างแจ่มใส ให้อารมณ์ความรู้สึกที่เปล่งประกายสุกวาวออกมาจากภายในได้อย่างชัดเจน จนชนิดที่ยากจะหาความกระจ่างใสอันนี้กับท่านผู้อื่นได้โดยทั่วไป
ท่านอาจารย์สุรเดช แก้วท่าไม้ ผู้ซึ่งทั้งครอบครัวเป็นศิลปินจิตรกร จากไปสัก 2-3 ปีแล้วในวัยเพิ่งจะ 60 ทิ้งผลงานสำคัญเอาไว้ในแผ่นดินอีกมากแต่ภาพหนึ่งที่ประทับใจอยู่อย่างไม่เคยเสื่อมคลายนั้นก็คือ ภาพเขียนสีน้ำมัน ‘งานบวชล้านนา’ หรือล้านนาออดิเนชั่น ปี2020 กับภาพ ‘ปอยส่างลอง’ ปีเดียวกัน
ซึ่งท่านได้จำลองความงดงามของพิธีการบวชลูกแก้วของชาวไทยใหญ่ซึ่งพำนักอยู่ฝ่ายมณฑลเมืองเหนือล้านนามาเนิ่นนานให้ปรากฏเป็นภาพอันอมตะ_หยุดเวลา อันเเสนจะงามงดหมดจดกระจ่างใจ ซึ่งในการนี้ย่อมหมายความว่ากาลเวลาจะไม่อาจลบเลือนความเป็นภาพชีวิตนี้ที่ท่านได้ร้อยเรียงผ่านปลายพู่กันแต้มสีออกไปได้
อีทีนี้ก็ คงจะต้องขออนุญาตต้องท้าวความกันก่อนว่าประเพณีการบวชหรือที่จริงแล้วประเพณีงานอะไรก็ตาม (ปอย) ของชาวไทยใหญ่นั้นจะต้องงดงามอลังการและเต็มตื้นวัฒนธรรมไปเสียทุกงานสิน่า
อันนี้ก็จะตรงกับคำสำนวนกึ่งภาษิตฝ่ายเมืองเหนือ ที่ว่า “..กินอย่างม่านทานอย่างเงี้ยว…” คำว่าม่านก็คือพม่า กินอย่างม่านนั้นบ่งนิยามความหมายว่ากินอร่อยกินล้น พม่าแท้ๆกินข้าวทีอาหารหลายอย่างเต็มสำรับกันไปหมด แถมปริมาณของแต่ละอย่างก็เยอะมากเนื้ออาหารก็อุดมมีไขมันมาก แบบว่า rich _บริบูรณ์
อาจจะใช้คำว่ากินโดยเหลือเฟือ ซึ่งอาจจะใช้เสริมว่าอิ่มแล้วยังเหลือเบะบะถึงอย่างนั้นก็ยังได้ เพราะฝ่ายพม่าดั้งเดิมมีความอุดมสมบูรณ์นักจะกินอะไรเท่าไหร่อย่างไรไม่อั้น
ส่วนคำว่าส่วนคำว่าเงี๊ยว ซึ่งก็ดังได้เคยเรียนไว้แล้วว่าเป็นคำโลนซึ่งใช้เรียกชาวไทยใหญ่ ชาวไทยใหญ่นั้นท่านเชื่อถือในการกุศลแแรงกล้าซึ่งเมื่อเวลาประกอบพิธีการทำบุญทำทานจะต้องจัดกันอย่างเต็มเหนี่ยวไม่กั๊กไม่อั้น เรียกกันว่าให้มัน_ถึงลือ
งานบวชลูกแก้วหรืองานปอยส่างลองนี้ เป็นความงดงามอลังการละเอียดละออตรงกับคำว่าทานอย่างเงี้ยวเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เค้ามูลของงานอลังการเต็มตื้นนี้จะเริ่มต้นจาก ระบบความนับถือในศาสนาก่อน ชาวไทยใหญ่ทั้งนั้นท่านเชื่อว่าการบวชเป็นประเพณีที่สำคัญที่สุด ได้กุศลแรงที่สุดและถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ทุกคนจะต้องบวช โดยพ่อและแม่จะต้องเป็นผู้จัดการบวชให้ โดยมากนิยมการบวชเณรเมื่อมีอายุสักราว 12 ปีขึ้นไป การบวชเณรนี้เองที่เรียกว่าบวชลูกแก้ว_ปอยส่าง/ลอง
โดยจะต้องเอาเด็กไปฝากไว้กับเจ้าอาวาสวัดก่อนให้มีความคุ้นเคยกับวิถีของทางวัด(ซึ่งที่จริงก็คือวิทยาลัยอย่างหนึ่ง) หัดอักขระตัวอ่านตัวเขียนต่างๆ ไปจนถึงการหัดขานนาคก็คือคำขอบวช หัดท่องคำศีลคำให้พรกับญาติโยม เมื่อพิจารณาดูว่าเด็กพร้อมแล้วพ่อแม่ก็จะดำเนินการจัดการบวชอย่างยิ่งใหญ่ โดยมักจะทำกันในเดือนเมษายน พฤษภาคม โดยบวชพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ๆ หลายๆคน
เมื่อออกกำหนดงานเรียบร้อยแล้ว จะมีการเชิญให้เพื่อนบ้านมาร่วมบุญด้วยกัน โดยมักจะเชิญกันทั้งหมู่บ้าน และผู้ที่เคยรู้จักมักคุ้นกันซึ่งอยู่ห่างออกไปตามตำบลต่างๆโดยใช้คนฝ่ายเจ้าภาพ นำเทียนขี้ผึ้งพร้อมกับกำหนดการไปให้ เรียกให้เข้ากับศัพท์ทางสังคมวิทยาก็ต้องบอกว่าถือเทียนกับใบฎีกาไปบอกบุญไปบอกบุญแต่ทางแม่สอดแม่ระมาดแม่ฮ่องสอนเรียกสถานการณ์นี้ว่าการ ‘ตกเทียน’
ฝ่ายผู้รับเชิญเมื่อได้รับเทียนแล้วก็ถือว่าเปนความยินดีในกองกุศล นับเป็นคำมั่นที่จะไป’ร่วม‘งานบุญ ก็จะเตรียมข้าวของต่างๆที่สำคัญจำเป็นเอาไปช่วยงาน ตามกำหนดการ ซึ่งนอกเหนือจากข้าวของงานบวชแล้วก็ยังมี ของจำพวกเสบียงสดเเห้ง สำหรับงานเลี้ยงแขกต่างๆ ก็มีรวมอยู่ด้วย โดยบางคราวก็ให้เงินสำหรับร่วมกุศลในกรณีนี้
ในระหว่างวันงานนี้จะมีการเลี้ยงดูกันอย่างเต็มที่ หนุ่มสาวชาวบ้านใกล้เคียงจะไปช่วยมวนบุหรี่ ทำเมี่ยงเป็นคำ ๆ และปรุงอาหารเลี้ยงดูแขกที่มาร่วมงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยเพราะถือว่าเป็นการทำกุศลและได้อานิสงส์แรงมาก เปนที่สนุกสนาน
ส่วนตัวผู้จะบวชเณรเรียกว่า “ส่างลอง” เมื่อถึงกำหนดวันงานก็จะโกนผมแต่ไม่โกนคิ้วเช่นพระไทย แล้วแต่งกายอย่างสวยงามประโคมด้วยเครื่องประดับมีค่า เช่น สายสร้อย แหวน ซึ่งอาจยืมขอมาจากญาติผู้ใหญ่ หรือได้มามาจากพ่อแม่หรือได้มาจากเพื่อนบ้านก็ตาม โพกหัวตามวัฒนธรรมของตนแต่งหน้าทาคิ้วให้สวยงาม ประดับศีรษะด้วยดอกไม้หอมเรียก ‘ปันกุม’ นุ่งถุงเท้าขาว ใส่โสร่ง บางทีสวมแว่นตาดำ เป็นปรัชญาปริศนาธรรมเรื่องความที่ยังมืดบอดอยู่เพราะยังไม่ได้เข้าสู่ร่มพระศาสนา (เขียนพรรณนาถึงบรรทัดนี้แล้วก็ให้เกิดความรู้สึกว่าสิ่งที่คลับคล้ายคลับคลาผุดขึ้นมาในมโนสำนึก ก็คืองานพิธีโกนจุกหรือโสกันต์ของเจ้านายฝ่ายไทยภาคกลางก็ประโคมประดับลักษณะอย่างนี้เหมือนกัน ซึ่งในทางสังคมวิทยาอีกนัยยะหนึ่งย่อมหมายถึงพิธีการเปลี่ยนสภาพของเด็กไปสู่วัยที่จะก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่ทั้งกรณีโกนจุกและการปลงผมบวชเณร)
การที่ลูกแก้วของเราแต่งกายประดับประดาด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับ อันสวยงามระยิบระยับนี้แท้แล้วเป็นไปเพื่อการรำลึกถึง เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ขี่ม้า กัณฐกะ ซึ่งเป็นสหชาติของท่านลักษณะดีสวยงามความยาวตั้งแต่หัวถึงหาง 18 สองความสูงเปรียวกำลังกำลังเหมาะ สีขาวราวกับหอยสังข์ที่ขัดแล้วมีฝีเท้าและกำลังมาก เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
ตัวท่านนั้นเป็นเจ้าชายในวรรณะกษัตริย์ ความสมบูรณ์พร้อมเพรียบ ทว่าท่านยังสละความสุขในทางโลกอันเพรียบพร้อมเช่นนั้นเพื่อแสวงหาความสุขในทางธรรมอันเป็นความยั่งยืนยิ่งกว่าได้ ปวงเราชาวลูกเณรก็ควรจะคิดตริตรองได้อย่างเดียวกัน โดยคำว่าลองซึ่งใช้ประกอบคำว่าส่างนี้ แปลให้ตรงตัวก็คือเจ้าชาย คำว่าอลอง_อลองพญา ที่เราคุ้นเคยกันก็คือคำเดียวกัน ลองนั้นอาจเเปลว่าอุปราช/รัชทายาท ก็ได้
ณ จุดนี้ลูกแก้วหรือส่างลองก็พร้อมจะออกเดินทางไปวัด เขาก็จะหาม้าขาวสวยๆมาให้ขี่หรือไม่ก็มีรถ มีการหามซึ่งทุกอย่างจะต้องประดับประดาอย่างสวยงามอลังการตามธรรมเนียมเจ้าชายออกมหาภิเนษกรมณ์ แห่ไปตามถนนสายต่างๆพร้อมเครื่องไทยทานพอตกค่ำก็จะเชิญส่างลองขี่คอคนแห่ไปตามบ้านใกล้เคียงเพื่อให้เจ้าของบ้านที่เป็นคนเฒ่าคนแก่ แข้งขาไม่ดีออกมาร่วมงานลำบากได้อวยชัยให้พรกันถึงที่แบบว่า ดีลิเวอรี่กันไปเลย ผู้เฒ่าจะเอาด้ายสายสิญจน์ผูกข้อไม้ข้อมือ รวมทั้งแจกเงินเป็นทานอัน ประเสริฐให้ด้วย ท่านเหล่านั้นก็มีความชื่นอกชื่นใจชุ่มอยู่ในบุญกุศลและภาพชีวิตอันสวยงามอลังการ ที่อุตส่าห์เคลื่อนที่มาให้ได้ชื่นชมโมทนาถึงหน้าบ้าน
นี่เองที่กราบเรียนกับท่านผู้อ่านว่าถึงบรรทัดนี้แล้วผู้ที่จะถ่ายทอดความงดงามของสถานการณ์ ที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังซ้อนทับไปยังครั้งพุทธประวัติผ่านปรากฎการณ์ทางสังคมวัฒนธรรมอันขัดเกลามาแล้วอย่างดีผ่านฝีแปรงฝีปลายพู่กันสีน้ำมันพรรค์อย่างนี้ หนึ่งในตองอูต้องมีก็ต้องยกให้ฝีมือของท่านอาจารย์สุรเดช ส่างลองจะมีพี่เลี้ยงที่คอยปฏิบัติดูแลอยู่อย่างน้อยสามคนพี่เลี้ยงนี้เรียก ‘ตะแป’
ส่วนพิธีทางศาสนาจะเริ่มในตอนเช้า จังหวะที่มีแสงสว่างรำไรแล้วพอมองเห็นเส้นลายมือ นาทีนี้เองพวก ตะแป ก็จะลักเอาส่างลองของเราไปซ่อน! นัยยะว่าไม่ให้ได้สำเร็จหรอกบุญกุศลที่จะบวช!!
อีทีนี้ผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายทั้งเจ้าภาพและแขกที่อุตส่าห์มาร่วมงานหวังว่าจะได้กุศลอันเต็มอิ่มในงานบุญครั้งสำคัญนี้ก็มาถูกจระเข้ขวางคลองด้วยการลักตัว_ปล้นบุญหนีไป จำต้องหาทางจ่ายค่าไถ่ไปช่วยตัวประกัน! เงินบุญกองนี้ที่ได้ทำการไถ่ตัวส่างลอง ตะแปถือเป็นเงินกุศลขนาดใหญ่มีอานุภาพกุศลแรงเขาจะพากันรวบรวมเอาไว้ไปถวายวัดอีกครั้งหนึ่ง
ตรงข้อนี้ควรจะได้นำประเด็นของตะแปมาพิจารณาโดยแยบคาย เขาอาจเป็นคนในสังคมอีกกลุ่มนึงที่ไม่มีสตางค์มั่งคั่งมีแต่กำลังวังชา การจะแปรสภาพแรงกายให้ออกมาเป็นตัวเงินอาจทำได้ทั้งโดยวิธีการบวกและลบ การใช้แรงไปเปนตะแป อาจจะเป็นการทำงานใช้แรงไปลงช่วยเจ้าภาพ ซึ่งโดยจิตกุศลแล้วงานอย่างลงแรงนี้เปนงานฟรีได้บุญล่ะได้แน่ แต่จะทำอย่างไรในเมื่อว่าไม่มีเม็ดเงินจะร่วมไปในกุศลให้ได้อย่างคนอื่นเขา เงินเรียกค่าไถ่ก็ต้องเข้ามามีบทบาทในกรณีนี้เพื่อเติมเต็มกองกุศลอันมีหลายชั้นและละเอียดอ่อน ส่วนการลักพานั้นถึงเป็นบาปอย่างไรก็แยกไปอีกส่วนหนึ่ง ตะแป ยอมรับและพร้อมที่จะชดใช้ยอมตนให้มอดไหม้ลงไปโดยมิมีการอิดออดคร่ำครวญ_ น่านับถือจิตใจอันเข้มแข็งของตะแปยิ่งนัก
การจัดงานบวชลูกแก้วนี้ถือกันว่าต้องทำกันให้ใหญ่โตใช้จ่ายเงินทองข้าวของมาก ไม่คำนึงถึงการหมดเปลืองแต่อย่างใด บางงานนั้นเจ้าภาพจะต้องใช้เวลาสะสมเงินเป็นแรมปี เพื่อหวังกุศลผลบุญ อันจะได้รับตอบแทนกลับมาโดยไม่มีประมาณเช่นกัน ชาวไทยใหญ่นิยมจัดงานการบวชลูกแก้วหรือบวชเณรมากกว่าการอุปสมบทหรือบวชพระ เมื่อถึงเวลาอุปสมบทในคราวที่จะเป็นพระก็กระทำกันโดยเรียบง่าย เรียกว่าจัดพิธีแต่พอสมควร เพราะถือว่าถ้าอุปสมบทแล้วไม่ค่อยสึกกันเป็นการส่งบุคคลเข้าสู่แดนพระธรรมอย่างแท้จริง ตรงนี้เป็นความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรมซึ่งน่าเคารพกราบกรานอย่างยิ่ง
ผู้ที่บวชเณรแล้วสึกออกมาภาษาเหนือเรียกว่า_น้อย เช่นเจ้าน้อยสุขเกษมในตำนาน ท่านเป็นเจ้าน้อยเพราะว่าเป็นเจ้าที่ได้บวชเณรมาก่อน ฝ่ายไทยใหญ่เมื่อบวชเณรลูกแก้วแล้วออกมาเรียกว่า ส่าง
ส่าง ที่มีชื่อเสียงคือ พ่อส่างกะณะ หรือ บรรดาศักดิ์ว่าขุนกันชนะนนท์ถี ท่านเป็นคหบดีชาวไทยใหญ่ซึ่งคุมครองหมู่บ้านอยู่บริเวณสารภี เป็นผู้มีความมานะวิริยะกล้า มีความสามารถในเชิงช่างสูงเมื่อครั้งครูบาศรีวิชัยพยายามตัดถนนขึ้นดอยสุเทพไปถึงทางลาดชันแห่งหนึ่งไม่มีผู้ใดสามารถทำถนนได้สำเร็จ พ่อส่างกะณะเป็นผู้ดำเนินการอาสาโดยใช้สรรพวิชาที่ท่านมีรวมถึงทุนทรัพย์และแรงใจแรงกายของชาวเงี้ยวซึ่งปรารถนาในพระอานิสงส์อันสูงยามเมื่อเจองานยากต้องฝ่าฟันไปให้ได้ ท่านได้สร้างงานก่อสร้างอันสำคัญ คือ ‘โค้งขุนกัน’ อันเป็นโค้งที่คมที่สุดหักศอกมากที่สุดเพื่อทำทางเชื่อมให้คนข้างล่างสามารถขึ้นถึงพระบรมธาตุดอยสุเทพได้โดยสะดวกปลอดภัย ปรากฏให้ถึงชื่อลือชามาจนปัจจุบันนี้