ปรากฏการณ์ ซิง ซิง บทเรียนที่ไทยควรเรียนรู้ 3

27 ม.ค. 2568 | 05:00 น.

ปรากฏการณ์ ซิง ซิง บทเรียนที่ไทยควรเรียนรู้ 3 คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ในอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้เห็นผลกระทบจากปรากฎการณ์ ซิง ซิง ที่ได้สร้างให้เกิดการยกเลิกทัวร์จีนช่วงตรุษจีน ทำให้เกิดความเสียหายต่อรายได้ของประเทศไทย แม้ตัวเลขที่ขาดหายไปไม่ได้เกินคาดไว้มากมายนัก แต่ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบันนี้รายได้จากการท่องเที่ยว เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของ GDP ไทยเรามากครับ

ก่อนที่จะกล่าวถึงพระเอกของเรื่อง ผมขอเอาตัวเลขจำนวนของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงวันที่ 22 ธันวาคมของปี 2567 มาให้ดูเล่นๆกันก่อนนะครับ

อันดับ 1 คือนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีน 6,581,141คน อันดับ 2 จากประเทศมาเลเซีย (เข้ามาทางชายแดนเป็นส่วนใหญ่) 4,800,185 คน อันดับ 3 จากประเทศอินเดีย 2,061,303 คน ซึ่งแน่นอนว่า หากผลของปรากฎการณ์ ซิง ซิง ได้ถูกประโคมข่าวในทางลบกันออกไปในประเทศจีนย่อมมีความสำคัญอย่างมีนัยยะทีเดียว ซึ่งสื่อฯในประเทศจีนส่วนใหญ่จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ประเทศไทยเราอันตรายไม่น่ามาท่องเที่ยว หรือมาท่องเที่ยวประเทศไทยแล้วต้องระวังว่าจะถูกแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ จับตัวส่งไปประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศไทยคือทางผ่านไปสู่นรกในประเทศเพื่อนบ้าน ฯลฯ นักท่องเที่ยวจากประเทศจีน(ในส่วนของชนชั้นที่เข้าใจผิดหรือหลงเชื่อสื่อฯออนไลน์ง่ายๆ) เขาย่อมเกรงกลัวที่จะไม่กล้ามาเที่ยวแน่นอนครับ

หากเรามาวิเคราะห์กันดูว่า ทำไมจึงเกิดผลกระทบตามหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็จะต้องวิเคราะห์หาสาเหตุได้ดังต่อไปนี้คือ สาเหตุที่ (1) เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด แน่นอนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดจากกลุ่มคนที่ต้องการทำงานที่มั่นคง หรือคนที่กำลังดิ้นรนอยากได้งานทำ เพราะในประเทศของเขาในยุคปัจจุบันนี้มีปัญหาด้านการหางานทำมาก เนื่องจากสภาวะเศษรฐกิจในประเทศเขา ในช่วงหลังจาก COVID-19 อัตราการจ้างงานได้ลดลงไป

ไม่เพียงแต่กลุ่มผู้ใช้แรงงานเท่านั้น แม้แต่กลุ่มที่อยู่ในระดับกลางอย่างกลุ่มศิลปินบันเทิง ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ปัจจัยไม่เพียงแต่เพราะสภาวะเศษรฐกิจ แต่วงการบันเทิงที่ได้ถูกระบบสื่อออนไลน์มาทดแทน จึงทำมีปัญหาในการว่าจ้าง ดังนั้นหวาง ซิงหรือซิง ซิง หากมีคนในวงการบันเทิงที่น่าเชื่อถือ หยิบยื่นงานในต่างประเทศมาให้ เขาต้องกระโดดงับทันที ดังที่ได้เห็นมาจากเหตุการดังกล่าว ก็พูดได้ว่า “คนจีนหลอกคนจีน”นั่นแหละครับ

สาเหตุที่ 2 คือในปัจจุบันนี้ ประเทศจีนเองการลงทุนที่กำลังมีปัญหามาก เพราะการค้าต่างๆในประเทศของเขา หลังฟื้นฟูจากพิษร้ายของโรคระบาด ไม่ได้เหมือนอดีตอีกต่อไป ทำให้มีหลากหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ รัฐบาลเขาก็ได้มีการส่งเสริมและผลักดันในกลุ่มธุรกิจ เดินออกนอกประเทศเพื่อไปหาช่องทางในการลงทุน เพื่อทดแทนที่จะต้องอยู่โยงกันแต่ในประเทศ ซึ่งก็เหมือนประเทศไทยในช่วงหลายปีก่อน

ถ้าพวกเราจำกันได้ ช่วงนั้นก็มี “นโยบาย Go Inter” ทำให้กลุ่มภาคธุรกิจที่เป็น SME ในประเทศไทย ต่างเห็นโอกาสเหล่านั้นพากันแห่แหนแตนแต้ เดินทางออกไปหาช่องทางกันยังต่างประเทศกันเยอะมาก ในประเทศจีนยุคนี้ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เพียงแต่บางคนที่ไม่มีความรู้หรือถูกหลอกลวงกันได้ง่าย จึงทำให้กลุ่มชนชั้นแรงงาน หรือคนที่กำลังแสวงหาช่องทาง ต่างก็ต้องการเดินทางออกไปหาโอกาสยังต่างประเทศนั่นเองครับ 

สาเหตุที่ 3 ในประเทศจีนช่วงหลังๆ มานี้ รัฐบาลยุคของประธานาธบดีสี เจี้ยน ผิง ได้มีนโยบาย  One Belt One Road หรือนโยบาย Belt and Road Initiative : BRI ซึ่งทำให้มีการตื่นตัวต่อประเทศในอาเชียน ที่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทาง(Destination)ที่สำคัญของเขา ดังนั้นประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันกลุ่มมิจ(ฉาชีพ)ทั้งหลาย หรือกลุ่มที่ต้องการหาโอกาสใหม่ๆในต่างประเทศ จึงคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะออกมาสู่โลกภายนอก แต่หารู้ไม่ว่า กำลังเดินทางเข้าสู่กับดักของเขาได้ง่ายๆนั่นเอง 

สาเหตุที่ 4 ในช่วงแรกๆที่กลุ่มมิจฉาชีพระบาดหนักที่ประเทศกัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาก็ได้รับการร้องขอจากรัฐบาลจีน ให้ช่วยปราบปรามกลุ่มมิจฉาชีพ 詐騙集團 ในคราบของกลุ่มธุรกิจคาสิโน ทำให้กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ที่กลายร่างจากกลุ่มคาสิโน จึงต้องย้ายฐานไปยังชายแดนรัฐฉาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมียนมา ต่อมารัฐบาลจีนก็ใช้วิธีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ผ่านทางสื่อออนไลน์ที่เป็นยักษ์ใหญ่ 4-5 ไม่ว่าจะเป็นการออกมาในรูปแบบของข่าว หรือทำเป็นละครสั้นเรื่องละ 5-6 ตอนจบ และมักจะใช้คำว่า “เมี้ยนเป้ย (緬北)” มาเป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรง และได้ร่วมมือกับรัฐบาลเมียนมา ในการปราบปรามกวาดล้างครั้งใหญ่ จนทำให้เกิดเป็นสงครามเล็กๆ ตามชายแดนจีน-เมียนมาเกิดขึ้น ส่งผลให้เมืองเลาก๋าย เมืองมู่เจ เมืองลาซิล กลายเป็นสมรภูมิขึ้นมาทันที อีกทั้งช่วงสามปีที่ผ่านมา ทำให้มีการจับกุมกลุ่มมิจฉาชีพ 詐騙集團 ถูกส่งตัวกลับไปรับโทษยังประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน มากกว่า 5 หมื่นคน(ตามรายงานข่าว)เลยทีเดียว

สาเหตุที่ 5 ข่าวที่หวาง ซิง หรือซิง ซิง ถูกช่วยเหลือออกมาจากเมืองเมียวดี ภายในหนึ่งวันหลังจากที่ได้รับร้องขอจากรัฐบาลจีน แต่รัฐบาลไทยเรากลับไม่ได้รีบเร่งทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนชาวจีนรับทราบ นี่เป็นสิ่งที่น่าเสียดายยิ่ง เพราะทำให้นักข่าวส่วนใหญ่ในประเทศเขา ที่มักจะชอบเสนอข่าวร้ายมากกว่าข่าวดีเสมอ และประชาชนคนจีนในประเทศเขา ที่มีมากเกือบสามสิบเปอร์เซ็นต์หรือเกือบ 600 ล้านคนที่ได้รับการศึกษาน้อยและเชื่อคนง่าย โดยเฉพาะข่าวที่ออกทางสื่อออนไลน์ ก็จะสร้างความเข้าใจผิดได้ง่ายเสมอ จึงทำให้การท่องเที่ยวในฤดูการท่องเที่ยวอย่างตรุษจีน ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงนั่นเองครับ

ในปรากฎการณ์หวาง ซิงหรือซิง ซิงในครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ที่เราต้องเก็บไว้เป็นตัวอย่างสอนใจ ว่าอย่าปล่อยให้เกิดน้ำผึ้งหยดเดียว มาสร้างความเสียหายให้ประเทศไทยเราได้ แม้เราจะคิดว่า นั่นป็นปัญหาของคนจีนหลอกลวงคนจีน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนไทยเลย หรืออาจจะคิดไปว่า รัฐบาลจีนคงจะต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้เอง หรืออาจจะไปคิดว่า ทำไมรัฐบาลจีนไม่ส่งกองกำลังเข้ามาจัดการ เหมือนดังที่เคยจัดการกลุ่มมิจฉาชีพ 詐騙集團 ในภาคเหนือของรัฐฉาน

ผมต้องพูดว่า อย่าได้ไปคาดหวังลมๆแล้งๆ เลย เพราะการเข้ามากวาดล้างกลุ่มมิจฉาชีพที่เมืองเมียวดี ไม่ได้ง่ายเหมือนตอนไปถล่มเมืองเหลาก๋ายหรอกครับ เพราะกองกำลังโกก้างที่เมืองเหลาก๋าย เมื่อเทียบกับกองกำลังของกระเหรี่ยงหลายฝ่ายในเมืองเมียวดี ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย อีกทั้งทางรัฐฉานตอนเหนือ มีพรมแดนติดกับประเทศเขา ซึ่งเขาเพียงสกัดกั้นไม่ให้มีการถอยร่นจากชายแดนเมียนมาเข้าสู่ประเทศเขา แล้วปล่อยให้ทหารรัฐบาลเมียนมา “เล่นบทปิดประตูตีแมว” ก็สามารถสยบกลุ่มมิจฉาชีพได้แล้ว

ในขณะที่เมืองเมียวดี ชายแดนติดกับประเทศไทย ถ้ามีการส่งกองกำลังของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้ามาที่ประเทศไทย เพื่อเข้าไปปราบปรามกลุ่มมิจฉาชีพในประเทศเมียนมา แค่คิดก็หนักหนาสาหัสแล้วครับ นอกเสียจากมีสงครามครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเท่านั้นแหละ ถึงจะเป็นไปได้ ดังนั้นเราคงต้องท่องคาถาในใจว่า....อัตตาหิ อัตตโนนาโถ...ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตนครับ