ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานโลก 2025-2030

29 ม.ค. 2568 | 14:01 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ม.ค. 2568 | 14:10 น.

ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานโลก 2025-2030 : คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ โดย... ดร.วรมาศ ลิมป์ธีระกุล คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4065

ปัจจุบันมีปรากฏการณ์อยู่หลายปรากฏการณ์ ที่กำลังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั่วโลกเป็นวงกว้าง หรือที่เราเรียกว่า Macrotrend ที่จะส่งผลต่อการใช้ชีวิต และการทำงานของเรา วันนี้จึงขออนุญาตหยิบยกเนื้อหาบางส่วนจาก The Future of Jobs Report 2025 ซึ่งจัดทำขึ้นโดย World Economics Forum มาเล่าสู่กันฟัง  

รายงานฉบับนี้ เป็นการรวบรวมความคิดเห็นได้มาจากการสัมภาษณ์มุมมองของนายจ้างกว่า 1,000 คนทั่วโลก ซึ่งมีการจ้างงานกว่า 14 ล้านคน ใน 22 กลุ่มอุตสาหกรรม 55 เขตเศรษฐกิจ รวมทั้งประเทศไทย ว่า ปรากฏการณ์หลักทั้ง 5 ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกขณะนี้มีอะไรบ้าง จะส่งผลอย่างไรต่อรูปแบบการจ้างงาน ทักษะ และ ยุทธวิธีในการปฏิรูปตลาดแรงงาน เพื่อการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงปี 2025 ถึง 2030 หรือในอีก 5 ปีต่อจากนี้ รวมทั้งมุมมองความคิดเห็นจากผู้ประกอบการในประเทศไทย

 

สำหรับ Macrotrends 5 trend ที่ทาง WEF คาดว่า จะส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Technological change) การเปลี่ยนผ่านสีเขียว (Green transition) การแตกแยกทางภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geoeconomic fragmentation) ความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจ (economic uncertainty) และการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร (Demographic shift)

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะการพัฒนาของปัญญาประดิษฐ์ จะเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน ทั้งการแทนที่แรงงานมนุษย์และการเพิ่มประสิทธิภาพของแรงงาน การเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพ ท่ามกลางภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ นายจ้างจะมองหาบุคลากรที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีความยืดหยุ่น คล่องแคล่ว สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้

การเปลี่ยนผ่านสีเขียว ที่ทำให้แรงงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร เข้าสู่สังคมสูงอายุจะมีความต้องการแรงงานด้านบริการสุขภาพเพิ่มมากขึ้น องค์กรต่างๆ จะมองหาคนที่มีทักษะการบริหารจัดการคนเก่งในองค์กร การฝึกอบรมและให้คำปรึกษาเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น 

ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของประชากรวัยแรงงาน โดยเฉพาะในประเทศที่มีรายได้ต่ำ จะเพิ่มความต้องการบุคลากรด้านการศึกษาระดับสูง และสุดท้ายความขัดแย้งทางด้านเศรษฐกิจและด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการกีดกันทางการค้า จะทำให้บริษัทมีการโยกย้ายฐานการผลิต จึงต้องการแรงงานที่มีความคล่องแคล่ว ยืดหยุ่นและมีความสามารถในการปรับตัว รวมทั้งมองหาแรงงานที่มีความรู้ความสามารถด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล

แรงงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การวิเคราะห์ข้อมูล วิศวกรด้านพลังงาน และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น ในขณะที่ตำแหน่งงานธุรการ หรือ งานที่ทำซ้ำๆ มีแนวโน้มที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ 

อย่างไรก็ดี ผลสำรวจได้ชี้ให้เห็นว่า ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ การปรับตัวและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ก็มีความสำคัญอยู่ไม่น้อย ดังนั้น แรงงานและคนที่กำลังมองหางาน ต้องมีการฝึกฝนทักษะใหม่ๆ ทั้งทักษะด้านเทคโนโลยีและทักษะด้านสังคม 

นายจ้างจะให้ความสำคัญกับแรงงานที่มีความสามารถเพิ่มยิ่งขึ้น โดยเน้นใช้กลยุทธ์ด้านการฝึกอบรม มาดึงดูดแรงงานที่มีความสามารถ รวมทั้งพัฒนาบุคคลากรในองค์กร ซึ่งภาคเอกชนคาดหวังให้ภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนการพัฒนาทักษะแรงงาน

สำหรับข้อมูลในส่วนของประเทศไทย พบว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยที่นายจ้างในประเทศไทย มีความกังวลมากกว่าค่าเฉลี่ยของนายจ้างประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยร้อยละ 73 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง จะส่งผลกระทบกับธุรกิจของตนภายในปี 2030 (สูงกว่าค่าเฉลี่ยของผลการสำรวจทั่วโลกที่อยู่ที่ร้อยละ 42) 

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ และ การปรับตัวต่อผลของการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ การดึงดูดแรงงานที่มีความสามารถเข้าสู่อุตสาหกรรม และบริษัทของตนนั้นเป็นไปได้ยาก นายจ้างร้อยละ 64 ในประเทศไทยมีแนวคิดที่จะใช้ประโยชน์จากโครงการที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลาย ความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วม

                    ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานโลก 2025-2030

นายจ้างในประเทศไทยให้ความสำคัญกับการทำงานโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ จากผลการสำรวจพบว่า ร้อยละ 89 ขององค์กรที่ได้รับการสำรวจในประเทศไทย มีการนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้ในการทำงาน ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของโลกที่ร้อยละ 88 นอกจากนี้ นายจ้างในไทยร้อยละ 75 จะจ้างบุคลากรใหม่ ที่สามารถสร้างสรรค์ หรือปรับเปลี่ยนปัญญาประดิษฐ์ ให้เข้ากับลักษณะงานขององค์กรได้ (ค่าเฉลี่ยโลกร้อยละ 69) ร้อยละ 89 จะฝึกอบรมบุคลากรเดิมให้สามารทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (ค่าเฉลี่ยโลกร้อยละ 77)

ผลการสำรวจเกี่ยวกับทักษะแรงงานในประเทศไทย แสดงให้เห็นว่า มีแรงงาน 56 คนจาก 100 คน (ค่าเฉลี่ยของโลกคือ 59 จาก 100 คน) ควรจะได้รับการอบรมเพิ่มเติม โดย 26 คนจะได้รับการเพิ่มพูนทักษะในตำแหน่งงานเดิม ส่วนอีก 21 คน จะได้รับการเพิ่มพูนทักษะ และอาจมีการโยกย้ายตำแหน่งงาน และอีก 9 คน อาจไม่ได้รับการฝึกฝนใดๆ และเสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้างในที่สุด 

นโยบายภาครัฐในการสนับสนุนด้านเงินทุนในการจัดอบรม เพื่อเพิ่มพูนทักษะแรงงาน และการเพิ่มความยืดหยุ่นเกี่ยวกับการจ้างงานและการเลิกจ้าง เป็น 2 นโยบายที่นายจ้างในประเทศไทย เห็นว่า จะเอื้อประโยชน์ในการเพิ่มจำนวนแรงงานที่มีความสามารถได้มากที่สุด

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้แก่ธุรกิจ แต่การขับเคลื่อนดังกล่าวนั้น ยังคงต้องอาศัยมนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์

การจะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ จึงไม่สามารถมุ่งเน้นเพียงแค่เม็ดเงินการลงทุน หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ควรที่จะต้องพัฒนาแรงงาน อันเป็นทรัพยากรการผลิตที่มีค่าของทุกระบบเศรษฐกิจ ให้มีความรู้ และทักษะ ทั้งในด้านการปฏิบัติงาน และทักษะด้านสังคม ซึ่งการพัฒนาดังกล่าว ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากผู้ปฏิบัติงาน นายจ้าง ภาครัฐ และสถาบันการศึกษา เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพต่อไปในอนาคต

แหล่งข้อมูลอ้างอิง: 1. The Future of Jobs Report 2025 โดย World Economic Forum https://www.weforum.org/publications/the-future-of-jobs-report-2025/