หน้าบัน คืนโบสถ์

26 ม.ค. 2568 | 10:30 น.

หน้าบัน คืนโบสถ์ คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

KEY

POINTS

  • หน้าบัน คือองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่ทำหน้าที่ปิดช่องว่างใต้หลังคา โดยมีทั้งหน้าบันรูปสามเหลี่ยมและโค้ง ซึ่งมีการตกแต่งด้วยลวดลายศิลปะต่างๆ เช่น รูปเทพเจ้าและเรื่องราวในคติศาสนา เพื่อเพิ่มความสวยงามและแสดงถึงฐานะของอาคาร.
  • หน้าบันและศิลปะ มีการตกแต่งอย่างประณีตในอาคารสำคัญ เช่น วัดหรือพระราชวัง โดยมีวิวัฒนาการจากการใช้ไม้ในยุคสุโขทัย จนถึงการใช้กระเบื้องและกระจกในสมัยรัตนโกสินทร์เพื่อแสดงถึงความสำคัญของสถานที่และเจ้าของ

หน้าบันคืออะไร?

หน้าบันนี้ฝรั่งเรียก tympanum ปรากฏตัวในงานสถาปัตยกรรมตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ผ่านวัน_เวลา ต่อเนื่องจนล่วงมาจนถึงปัจจุบัน ถือกันว่า หน้าบันนั้นเป็นองค์ประกอบหนึ่งในโครงสร้างหลังคาของอาคารซึ่งฝ่ายหนึ่งที่นิยมสร้างในรูปทรงสามเหลี่ยมลาดเอียงเพื่อมีเพดานสูงโปร่งโล่งข้างในนั้น โดยลักษณะของหลังคาแบบนี้จะทำให้เกิดช่องว่างด้านหน้าและด้านหลัง ดังนั้น เพื่อป้องกันน้ำฝนสาดและป้องกันสัตว์ต่างๆ ไม่ให้เข้ามาทำรังอาศัย จึงจำเป็นต้องทำหน้าจั่วปิดทึบช่องว่างดังกล่าวเสีย ไม่ว่าจะเปนที่ ปราสาทหิน เทวาลัย เทวสถานต่างๆก็ตาม ซึ่งแม้ว่าใช้หิน อิฐ หรือศิลาแลงในการก่อสร้างอาคาร เขาก็มีหน้าบัน ทำจากวัสดุชนิดเดียวกัน ครูช่างต่างๆท่านก็ประจงตกแต่งหน้าบันด้วยการแกะ การจำหลักลงไปในเนื้อหิน เนื้ออิฐ หรือศิลาแลงนั้นๆ โดยสร้างสรรค์ ซึ่งมักผลิตงานออกมาเปนลวดลายตามสมัยนิยมแห่งยุคและความนับถือในลัทธิศาสนา เช่น เป็นรูปเทพเจ้าต่างๆ อย่างพระอิศวร พระวิษณุ พระนารายณ์เรื่องราวในมหากาพย์ต่างๆ เช่น มหาภารตะ รามเกียรติ์ แม้กระทั่งพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

ข้างสถาปนิกอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งทำหลังคาเหมือนกันแต่ไม่ได้หน้าจั่วเป็นสามเหลี่ยม กลับมีลักษณะเป็นทรงโค้ง ก็หน้าบันต้องมีความโค้งไปตามลักษณะหลังคา ส่งผลให้หน้าบันทรงโค้งกำเนิดขึ้นในโลกมีความสวยงามวิจิตรศิลป์น่าพิศวง

ทว่ามีอีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่ทำให้หน้าบันปรากฏตัวขึ้น ก็โดยเฉพาะในงานสถาปัตยกรรมลหลังคาทรงอื่น เช่น เพิงหมาแหงน จะไม่มีก็เพราะพื้นที่เบื้องบนไม่พอ จะมีหน้าบันไม่ได้ จำจะต้องเป็นหลังคาสูงทรงจั่วเท่านั้น ซึ่งมีความโอ่อ่าอลังการอยู่ในที ทั้งยังสามารถตอบสนองต่อสภาพภูมิอากาศของภูมิภาคได้อย่างเหมาะสม  ด้วยความลาดเอียงของหลังคาที่ชันมากจะช่วยระบายน้ำฝนในฤดูฝนได้ไว และพื้นที่ว่างภายในช่องหลังคาจะช่วยระบายความร้อนในฤดูร้อนได้ดี

 

หน้าบัน คืนโบสถ์

 

หน้าบันสวยๆของโลก มีมากมายเรียงรายไปตั้งแต่ที่วิหารในกรุงปารีส ที่อิสตันบูล ที่สเปน ที่อิตาลีแม้กระทั่งที่อียิปต์เอง ยกตัวอย่างมาแสดงแก่ท่านตามรูปที่แนบมานี้เพื่อทราบซึ้งในวิทยาการของเหล่าศิลปินผู้สร้าง ทีนี้ว่าลำดับศักดิ์ของอาคารในสังคมก็มีแตกต่างกันไปอาคารที่มีฐานะสูงตัวหน้าบันก็จะได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามอลังการปราณีตบรรจง บรรทัดนี้ขอแวะพักเพื่ออนุสรณ์คำนึงถึงเกร็ดความรู้ที่ครูช่างให้ ท่านบอกว่าถ้าอาคารธรรมดาเรียกหน้าจั่ว แต่ทว่าหน้าจั่วที่ตกแต่งลวดลายแล้วต่างหากถึงเรียกว่า หน้าบัน

ซึ่งในการก่อสร้างอาคารสถาปัตยกรรมที่มีระดับชั้น อาทิ โบสถ์ วิหาร ศาลา หรือตำหนักที่ประทับต่างๆ มักนิยมตกแต่งลวดลายให้กับหน้าจั่วเพื่อความสวยงาม ดังนั้นหน้าบันจึงปรากฏตัว ในอาคารบรรดาศักดิ์เสียโดยมาก ในถิ่นไทยเรานั้นวิวัฒนาการของหน้าบันมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เห็นได้จากโบราณสถานสมัยขอมที่สร้างขึ้นมาก่อนการเกิดรัฐคนไทย เปนงานหินแกะ  ส่วนว่าครั้งเมื่อสมัยสุโขทัยเป็นต้นมา ช่างต่างๆนานานิยมสร้างอาคารสถาปัตย์ด้วยไม้ หน้าบันจึงถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ตามไปด้วย โดยใช้เทคนิคการแกะสลักมาตกแต่งลวดลาย ซึ่งในช่วงแรกนิยมแกะสลักเป็นลวดลายพรรณพฤกษา ที่ค่อนข้างเรียบง่าย ตัวอย่างของหน้าบันไม้ศิลปะสุโขทัยที่พอจะเห็นได้ในปัจจุบันคือ หน้าบันของวิหารพระพุทธชินราช วัดพระศรีมหาธาตุฯ จังหวัดพิษณุโลก

ต่อมาในสมัยอยุธยา ประดาศิลปินจึงทำงานรังสรรค์ลวดลายหน้าบันเปนที่วิจิตรงดงามมากขึ้น โดยนิยมแกะสลักเป็นรูปนารายณ์ทรงสุบรรณ (ครุฑ)  จนลุมาถึงในสมัยของรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 3 โครงสร้างหลังคาอาคารต่างๆ ของหลวงส่วนใหญ่นิยมก่อสร้างด้วยอิฐถือปูน การตกแต่งหน้าบันได้รับอิทธิพลศิลปะจีนตามพระราชนิยมโดยนำกระเบื้องเครื่องกังไสจีนมาตกแต่งลวดลายเป็นรูปสิ่งของหรือสัตว์มงคลต่างๆ ตามคติจีน เช่น รูปดอกโบตั๋นดอกไม้มงคล ต่อมานิยมตกแต่งเป็นรูปพระปรมาภิไธยย่อของพระมหากษัตริย์หรือพระนามาภิไธยย่อของเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อบ่งบอกถึงความสำคัญให้รฤกถึงท่านผู้สร้าง_ท่านผู้อุปถัมภ์ของสถานที่นั้นๆ

อย่างไรก็ดีเปนที่รับรู้กันว่า เพื่อบ่งบอกถึงฐานานุศักดิ์ ความสำคัญ และประวัติความเป็นมาของสิ่งก่อสร้าง ย่อมเปน ขนบและแบบธรรมเนียมอยู่เอง ที่นอกจากงานก่อสร้างอาคารสถาปัตยกรรมในสังคมไทยต้องแสดงให้เห็นถึงฐานันดรศักดิ์ของผู้เป็นเจ้าของ ให้มีองค์ประกอบของสิ่งก่อสร้างทั้งหลายบ่งบอกประกอบไว้ หน้าบันจึงต้องให้มีความวิจิตรงดงามแตกต่างกันตามฐานะตามไปด้วย

 

หน้าบัน คืนโบสถ์

 

สังเกตได้ว่าอาคารในเขตพระราชฐาน เช่น พระที่นั่ง ตำหนัก วังที่ประทับของเจ้านาย หรืออาคารที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอย่างเช่น โบสถ์ วิหาร กุฏิ ศาลา โดยเฉพาะในวัดหลวงสำคัญๆ มีการตกแต่งลวดลายหน้าบันให้วิจิตรงดงามและอลังการมากกว่าสิ่งก่อสร้างของคนทั่วไป ทั้งในเรื่องเทคนิคการตกแต่ง ความชำนาญของช่างฝีมือ และการออกแบบลวดลายที่มีความซับซ้อน ตลอดจนการอัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อ หรือตราประจำพระองค์ ไปประดิษฐานเป็นลวดลายหน้าบัน ในขณะที่สิ่งก่อสร้างของสามัญชนอย่างส่วนใหญ่จะไม่มีการแกะสลักตกแต่งหน้าจั่ว มักนิยมใช้แผ่นไม้ต่อกันเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วเรียบๆ หรือหากเป็นวัดวาอารามของของราษฎรอย่างที่เรียกกันว่าวัดราษฎร์มักนิยมแกะสลักตกแต่งหน้าบันเป็นลวดลายง่ายๆ เช่น ลายกนก ลายพรรณพฤกษา ขึ้นมาบ้างแต่เพียงเท่านั้น เป็นอาทิ

ในยุคที่สิ่งปลูกสร้างทำด้วยไม้เริ่มทยอยลดความสำคัญลง เพราะความสามารถในการทำนุบำรุงดูแลรักษา (เมนเทนแนนท์) ชักเริ่มเปนภาระมาก ไหนจะศีลาจริยวัตรของพระสงฆ์องค์เจ้าที่ห้ามฆ่าสัตว์ เมื่อประดาปลวกมดมอดมากัดกินอาคารไม้ จะทำลายชีวิตโดยการฉีดยาฆ่ามันลงไปเสียแล้วก็แลดูน่าอึดอัดใจอยู่ จำจะต้องปล่อยให้ทุกสิ่งผุพังเสื่อมสลายเป็นไปตามหลักอนิจจัง_ทุกขัง_อนัตตา

เมื่อถึงเวลาคณะกรรมการและชุมชนเห็นพ้องกันว่าควรที่จะทำการก่อสร้างศาลาวิหารต่างๆเสียใหม่ให้ก่ออิฐถือปูนให้มีความแข็งแรงทนทานลดการดูแลรักษา อาคารไม้ที่เก่าโงนเงนผุพังก็จำเป็นจะต้องถูกรื้อถอนลงเพื่อปลูกสร้างของใหม่ งานอย่างชนิดนี้เขาก็มีศัพท์เรียกกันว่าการผาติกรรม ซึ่งตามรูปศัพท์แปลว่า การทำให้เจริญ หมายถึง การจำหน่ายครุภัณฑ์ เพื่อประโยชน์สงฆ์อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเอาของเลวแลกเปลี่ยนเอาของดีกว่าให้แก่สงฆ์ หรือเอาของตนถวายสงฆ์เป็นการทดแทนที่ตนทำของสงฆ์ชำรุดไป, รื้อของที่ไม่ดีออกทำให้ใหม่ดีกว่าของเก่า ซึ่งในยุคหลังถือเอาหลักการ การชดใช้, การทดแทน มาเป็นองค์ประกอบในการผาติกรรมโดยมีสื่อกลางก็คือเงิน _ เอาเงินถวายวัดถวายสงฆ์ไปเพื่อที่จะซื้อไม้เก่าออกมาจากวัด ให้วัดมีที่ว่างทำการสร้าง อุโบสถ/วิหารหลังใหม่

ประดานักค้าของเก่า ผู้นิยมสะสมงานศิลปะเมื่อทราบที่มาว่าไม่ได้ขโมยหรือลักเอางานฝีมือนั้นนั้น มาก็นิยมที่จะซื้อหาต่อทอดจากผู้ผาติกรรม นำมาเก็บสะสมเชยชมเป็นคอลเลคชั่นส่วนตัว โดยอาจจะลืมนึกไปว่าบรรดาท่านครูผู้สร้างงานศิลปะนั้น ในใจของท่านไม่ได้มีความซาบซึ้งในเรื่องอนิจจังอนัตตาหรืออนิจจะลักษณะของวัตถุแต่อย่างใด_ตามประสาคนศิลปิน ซึ่งครั้งหนึ่งศิลปินแห่งชาติระดับอาจารย์ของคนศิษย์ทั้งมวลได้เคยกรุณาอธิบายเล่าไว้ว่า ในอาชีพของศิลปินนั้น ชอบนักที่จะหยุดความงาม (ซึ่งรู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา) ให้มันคงที่ เช่น จับโมเมนต์ความงามในบางจังหวะให้เปนแรงบันดาลใจหยุดไว้ในผลงาน จึงบังเกิดสิ่งที่เรียกว่าความสมโยค_ของงานงาม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ศิลปินยึดมั่นนับถือทั้งๆที่ก็รู้ว่าวันนึงจะต้องเกิดความวิโยค_พลัดพลากจากไป แต่ก็มิอาจจะทำใจรับได้ถนัดนัก ซ้ำร้ายหลายคราวสิ่งที่ปรากฏในงานศิลปะสำหรับพระศาสนาเหล่าศิลปินสล่าครูบาช่างเจตนาทำไว้โดยมิได้สนใจจะรับค่าจ้างค่าออน หมายใจแต่จะให้ฝีมือแห่งตนเป็นเครื่องประดับโลกาเชิดชูพระศาสนาไปชั่วกัลปาวสาน เพื่อคนส่วนรวมทั้งหลายนั้นได้ชื่นชมความงดงามโดยถ้วนหน้ากัน ยอมสละแรงกายใจทุ่มเทสร้างไว้หาได้ประสงค์ให้มีผู้ใดเก็บงำนำครอบเอาไว้ชื่นชมอยู่แต่เพียงผู้เดียว

 

หน้าบัน คืนโบสถ์

 

ประเด็นอันนี้แล คือที่มาของคำว่า_อาถรรพ์ (ซึ่งสะกดว่าอาถรรพณ์ ก็ได้)วันหนึ่งนานมาแล้วได้พบกับชาวฝรั่งอาวุโสผู้ซึ่งเป็นนักประมูลของเก่ามือรางวัลจากสถาบันระดับโลก (สถาบันให้รางวัลเพราะประมูลเยอะประมูลถี่ประมูลบ่อย) ท่านเป็นผู้มีน้ำใจดี เป็นผู้มีจริยาวัตรมารยาทงดงาม ท่านได้สะสมงานศิลปะชนิดหน้าบันเอาไว้หลายชิ้น โดยคิดแบบฝรั่งว่าเป็นความงามอันลึกซึ้งจับใจ เก็บไว้ดูชมเพียงลำพังที่บ้านซึ่งปลูกในประเทศไทยไดัสมโยคดีแท้ (จากที่มีอยู่หลายที่หลายประเทศและมีงานศิลปะที่แตกต่างกันประดับอยู่ตามคาแรกเตอร์ของบ้าน)
และท่านผู้นี้ได้ประสบเหตุแปลกประหลาดที่อธิบายได้ยาก แต่เมื่อได้อธิบายให้ท่านฟังโดยมีเหตุผลตามย่อหน้าข้างต้นนั้น ท่านก็ ‘เก็ต’

ในฐานะกัลยาณมิตรที่ดีจึงได้อาสานำหน้าบันไม้แกะสลักลายประดับกระจกเกรียบซึ่งน่าเชื่อว่าทำในยุครัตนโกสินทร์ต้น ไปคืนยังศาสนสถานซึ่งเป็นสถานที่ของส่วนรวมตามหลักการ ด้วยมีจังหวะจะเดินทางขึ้นเหนือพอดีและเห็นว่ามีครูบาหนุ่มกำลังสร้างวัดโดยอนุรักษ์ศิลปะวัตถุอยู่ที่อำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง ได้มีโอกาสมาเยี่ยมท่านครั้งหนึ่งก็ลงใจว่าท่านนั่นเองที่จะ เป็นเนื้อนาบุญในกิจกรรมนี้ได้

จึงลงมือเปลี่ยนยางรถ Saab สีเขียว 5 ประตู อายุ 30 ปี เสียใหม่ให้เหมาะกับการเดินทางไกล เนื่องจากเป็นรถที่พับเบาะได้ ครูช่างสวีเดนออกแบบมาให้บรรทุกของขนาดใหญ่ขนย้ายคล่องตัว ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้าเครื่องยนต์ 2000 ซีซี มีเทอร์โบให้ความรู้สึกเต็มตื้นอย่างที่เรียกว่า driving pleasure ไปบนหนทางไต่เขาคดเคี้ยว ไปในภารกิจอันลึกลับน่าพิศวงนี้ โดยมุ่งหน้าไปจังหวัดอ่างทอง แวะรับประทานข้าวเที่ยงที่กำแพงเพชร

ตกค่ำแล้ว เมื่อถึงวัด ลมหนาวโบกโบยเย็นเยือกอุณหภูมิลดต่ำลงเหลือ 14 องศา ท่านสมภารหนุ่มเจ้าอาวาสวัดบ้านแก่นไชย รับฟังโดยการพิจารณาความเป็นมาเป็นไปเพียงชั่วครู่ ท่านก็กล่าวสัมโมทนียกถา โดยกรวดน้ำให้กับวิญญาณครูช่างผู้สร้างสรรค์งานศิลปะชิ้นนี้ แลแผ่เมตตาขอให้อโหสิกรรมแก่ผู้ที่อาจเข้าใจผิด ผิดพลาดไป ในการนำไปเก็บไว้ส่วนตัว และขอให้ได้อนุโมทนาอีกครั้งหนึ่งกับการที่ได้กลับมาสู่อาคารสาธารณะอันเป็นประโยชน์ของส่วนรวม ณ สถานที่แห่งนี้_ น้ำเสียงของท่านและความสามารถในการแผ่เมตตาช่างเย็นเยือกน่าขนลุก พร้อมกันนั้นได้ถวายปัจจัยร่วมบูรณะซ่อมแซมเสนาสนะและหน้าบัน เป็นจำนวน 19,500 บาท ตามหลักการ ที่ถูกต้องที่ไม่ใช่ว่าเอาของมาเป็นภาระแก่พระแก่วัดแต่เพียงเท่านั้น โดยมีท่านพุทธศาสนิกชนผู้มีใจงามร่วมกัน 13 ท่านส่งสตางค์มา สมภารก็กล่าววาจาอนุโมทนาให้พร

จนกระทั่งถึงเชียงใหม่ในเวลารุ่งเช้าเข้าประชุม ที่สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ตรงอำเภอแม่ริม ท่านนักวิทยาศาสตร์ก็ขมักเขม้นผลิตกระจกเงากันอยู่ นัยยะว่าสมาพันธ์วิทยาศาสตร์ของโลก จ้างให้นักวิทยาศาสตร์ไทยทำกระจกรับพลังคลื่นแสงนอกโลกเพื่อประโยชน์ในการวิทยาศาสตร์ให้งบประมาณมูลค่ามากถึง 3,000,000 ยูโร ทำให้นึกถึงกระจกเกรียบประดับหน้าบันที่เพิ่งนำส่งวัดคืนโบสถ์ไปเมื่อวานขึ้นมาทันที ว่า บรรพชนไทยของเรานั้นก็มีฝีมืออย่างมากในการทำกระจก

ผู้มีชื่อเสียงในสมัยก่อนที่ทรงกำกับการกรมช่างหุงกระจก คือ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ (พระองค์เจ้าปราโมช ในรัชกาลที่ 2) ต้นราชสกุลปราโมช โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชผู้หลาน เขียนไว้ในหนังสือ ‘โครงกระดูกในตู้’ ดังความว่า “...การหุงกระจกที่เคยทำมาแต่ก่อนนั้นเป็นการหุงกระจกอย่างบาง* สำหรับวัดวาอารามและตู้โต๊ะไม้สลักปิดทองเพื่อให้แวววววาว ในระยะหลังนี้ท่านได้ทรงทดลองการหุงกระจกแบบใหม่จนทรงสามารถทำแก้วในสีต่างๆ ได้ และทรงทำเป็นรูปดอกไม้ผลไม้ มีความสวยงามไม่แพ้แก้วเมืองเวนิชทุกวันนี้..”

*การหุงกระจกสีที่ผลิตในรัชสมัยนั้นมีคุณภาพดีมาก เรียกว่า กระจกเกรียบ_เป็นกระจกแผ่นบาง เนื้อกระจกเหนียวตัดแบ่งให้เป็นชิ้นส่วนตามขนาด รูปทรง มีหลายสีและสดใสทนทาน สาเหตุที่เรียกกระจกเกรียบ เพราะเป็นแผ่นบางๆแลดูคล้ายแผ่นข้าวเกรียบ

ปัจจุบันหากระจกเกรียบใช้ประดับตกแต่งเครื่องศิราภรณ์เครื่องสูง ตู้ โต๊ะ ช่อฟ้าใบระกา หน้าบัน เช่นในสมัยก่อนได้ยาก เพราะช่างฝีมือทยอยล้มหาย คงมีความนิยมใช้กระจกแก้วที่มีความหนากว่ากระจบเกรียบแทนแต่ใช้ตกแต่งงานไม่ประณีตเท่ากระจกเกรียบ

ก็เป็นอันจบคดีหน้าบันไม้ จำหลักลายประดับกระจกเกรียบคืนโบสถ์โดยสมบูรณ์แต่เพียงเท่านี้