KEY
POINTS
เมื่อวานนี้ ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนรุ่นน้องที่เรียนจบแพทย์ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านคือนพ.สันติ ท่านเป็นแพทย์อายุรกรรมที่มีความเชี่ยวชาญด้านสเต็มเซลล์มากท่านหนึ่ง ท่านได้พูดถึงบทความที่ผมเขียนเรื่อง Innate Immunity ท่านบอกผมว่า ผมควรจะลองศึกษาเรื่องของ NK Cells ดู ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะสเต็มเซลล์เป็นแหล่งต้นกำเนิดของ NK Cells ที่มีทั้ง Autologous NK Cells และ Allogenic NK Cell ทำให้สร้างแรงกระตุ้นให้ผมอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น เพราะเท่าที่ผมเห็นในปัจจุบันนี้โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง ได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์เรื่องการฉีดสเต็มเซลล์กันอย่างมากมาย แต่เกือบทุกแห่งจะไม่บอกตรงๆว่านั่นคือสเต็มเซลส์ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกฎหมายยังไม่ลองรับ จึงได้แต่บอกว่า NK Cells (Natural Killer Cells) ซึ่งถ้าเป็นคนทั่วไป ก็จะไม่ทราบว่าคืออะไร? ผมจึงใช้เวลาว่างในยามค่ำคืน เข้าไปสืบค้นหาความรู้เพิ่มเติม ซึ่งก็ไม่ผิดหวังยิ่งอ่านยิ่งสนุกครับ วันนี้จึงขอนำเอาเรื่องราวที่พอจะทราบมานี้ มาแบ่งปันให้พวกเราได้รับทราบกันครับ
ต้องบอกว่ามนุษย์เราทุกคน เมื่อมีอายุมาก ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะเสื่อมลง ซึ่งเรียกว่า “ภาวะภูมิคุ้มกันเสื่อม” (Immunosenescence) ส่งผลให้ประสิทธิภาพของ Natural Killer (NK) Cells ลดลงด้วย ทำให้ผู้สูงวัยมีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อและมะเร็งเพิ่มขึ้น แสดงว่า NK cells ในผู้สูงอายุน่าจะเป็นประเด็นสำคัญ เพราะ NK Cells มีบทบาทสำคัญ ในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและเซลล์มะเร็ง หากสามารถฟื้นฟูหรือเสริมสร้าง NK Cells ในผู้สูงวัยได้ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ และเพิ่มคุณภาพชีวิต หากเราจำกันได้ เมื่อสอง-สามอาทิตย์ก่อน ผมเคยเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับการสร้างภูมิคุ้มกันตนเองที่พูดถึงเรื่อง Complement System และ Cytokines ล้มเหลว ที่เป็นบ่อเกิดของ โรคแพ้ภูมิตนเอง(Systemic Lupus Erythematosus : SLE) หรือเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมก็พูดถึงเรื่องของ Innate Immunity ที่เกี่ยวกับการสร้างภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดบกพร่อง ที่สร้างขึ้นมาตามธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อมาช่วยปกป้องการรุกรานของโรคร้ายต่างๆ ในขณะที่ Natural Killer Cells หรือ NK Cells นั้น ที่เป็นไปได้ทั้งการที่มนุษย์สามารถเพาะเลี้ยง Cells ขึ้นมาเอง แล้วจึงนำมาฉีดกลับไปยังตัวของเราในเวลาต่อมาได้ ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ยุคใหม่ ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้นั่นเองครับ
เราลองมาดูการเปลี่ยนแปลงของ NK Cells ในผู้สูงวัย ที่เกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น NK Cells มีการเปลี่ยนแปลงของจำนวนของ NK Cells อาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า จำนวน NK Cells ในเลือดของผู้สูงอายุอาจเพิ่มขึ้นหรือคงที่ เมื่อเทียบกับคนวัยหนุ่มสาว อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนอาจไม่ลดลง แต่ประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็งและเซลล์ติดเชื้อลดลง เซลล์เพชฌฆาตจากธรรมชาติ (NK Cells) เป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดหนึ่งในระบบภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด (Innate Immune System) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและเซลล์มะเร็ง NK Cells สามารถรับรู้และกำจัดเซลล์ผิดปกติได้ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการจำเพาะเหมือนเซลล์ T (T Cells) ครับ
ในทางการแพทย์แบบแม่นยำ ( Precision Medicine) ได้มีการนำ NK Cells มาใช้ในทางการแพทย์ เพื่อการรักษามะเร็งและอีกหลายโรค โดยมี 2 แนวทางหลัก คือ Autologous NK Cells และ Allogeneic NK Cells ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน แต่ก่อนอื่นเราต้องมาเข้าใจถึงที่มาของ Autologous NK Cells และAllogeneic NK Cells ก่อนว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? เพื่อจะได้เห็นถึงจุดอ่อนจุดแข็งของ NK Cells ทั้งสองชนิดก่อน ผมพอจะนำความรู้ที่ได้อ่านมา นำสรุปคร่าวๆและใช้คำพูดที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายๆแบบคนที่ไม่ใช่แพทย์ได้ดังนี้ครับ
Autologous NK Cells คือ NK Cells ที่เก็บจากเลือดของผู้ป่วยเอง แล้วนำมาคัดแยก จากนั้นจึงนำมาเพาะเลี้ยงเพื่อขยายจำนวน และกระตุ้นให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในห้องแล็บ ก่อนจะถูกฉีดกลับเข้าไปในร่างกายของผู้ป่วย แต่ในส่วนของ Allogeneic NK Cells เป็น NK Cells ที่ได้จากผู้อื่นที่นำมาบริจาค ซึ่งอาจเป็นผู้บริจาคที่มีโปรตีนหรือโมเลกุลที่อยู่บนผิวเซลล์(Human Leukocyte Antigen : HLA) คล้ายกัน(HLA-matched donor) หรือผู้บริจาคที่ HLA ไม่ตรงกัน (HLA-mismatched donor) ซึ่งในปัจจุบันนี้ มีคนที่ทำเช่นนี้ค่อนข้างเยอะ บางรายก็ไปใช้จากสายสะดือของเด็กที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเองเลยก็มีครับ (เรื่องนี้น่าสนใจมาก ไว้โอกาสหน้าผมจะนำมาเสนอให้อ่านเล่นนะครับ)
ข้อดีของการใช้ Autologous NK Cells คือจะไม่มีปัญหาการต่อต้านของภูมิคุ้มกัน (Graft-versus-host disease : GVHD) เพราะเป็นเซลล์จากร่างกายของตัวเอง จึงไม่มีความเสี่ยงที่ระบบภูมิคุ้มกันจะต่อต้าน อีกทั้งยังลดความเสี่ยงของการถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพราะระบบภูมิคุ้มกันจะจดจำว่าเป็นเซลล์ของตนเอง ในส่วนของการใช้ Allogeneic NK Cells คือเราสามารถเลือกเซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยการคัดเลือก NK cells จากผู้บริจาคที่มีเซลล์ศักยภาพในการทำลายเซลล์มะเร็งสูง อีกทั้งยังสามารถใช้เซลล์จากแหล่งต่างๆ เช่น สายสะดือ ไขกระดูก หรือเลือดจากผู้บริจาคที่มีสุขภาพดี นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพในการฆ่าเซลล์มะเร็งสูงกว่าในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อใช้ NK Cells จากผู้บริจาคที่มีลักษณะ HLA แตกต่างจากผู้ป่วย ทำให้เกิดผลจากการปลูกถ่ายต่อการเจริญเติบโตของมะเร็ง หรือที่เรียกว่าGraft-versus-tumor effect (GVT Effect) นั่นเองครับ
แน่นอนว่ามีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย ซึ่งในส่วนของ Autologous NK Cells แม้จะเป็นการปลูกถ่ายจากเซลล์จากร่างกายของเราเอง แต่ถ้าหาก NK Cells ของผู้ป่วยอาจมีประสิทธิภาพต่ำ โดยเฉพาะในผู้ป่วยมะเร็ง NK Cells นั่นก็อาจถูกกดให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพดีพอก็ได้ ข้อเสียอีกข้อคือ ต้องใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงและขยายจำนวนนานมาก ซึ่งเท่าที่ผมคุยกับนักวิจัยชาวไต้หวัน เขาก็บอกว่าอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะได้เซลล์ที่มีจำนวนและประสิทธิภาพเพียงพอ
ในส่วนของ Allogeneic NK Cells ( NK Cells จากผู้บริจาค) ข้อเสียที่น่ากังวลใจคือ
การใช้ NK Cells ชนิดนี้มีความเสี่ยงต่อ GVHD ค่อนข้างสูง อีกทั้งระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยอาจจะเกิดการต่อต้านเซลล์ที่ได้รับบริจาคมา ซึ่งบางครั้งแพทย์ก็จำเป็นต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันการต่อต้านกันระหว่าง NK Cells ที่เข้ามาใหม่กับร่างกายของผู้ป่วยเองครับ ดังนั้นการรับ NK Cellsประเภทนี้ จึงมีความซับซ้อนในการคัดเลือกผู้บริจาค และต้องมีการตรวจสอบความเข้ากันได้ของ HLA ของทั้งผู้ให้และผู้รับให้ดีนั่นเองครับ อย่างไรก็ตาม การให้คำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากการเลือกใช้ที่ผิดพลาด อาจจะสร้างความเสียใจให้กับผู้ป่วยและสมาชิกของครอบครัว ที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้เลยครับ