14 กุมภา วันพญาแร้งไทย

22 ก.พ. 2568 | 06:15 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.พ. 2568 | 06:22 น.

14 กุมภา วันพญาแร้งไทย คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

KEY

POINTS

  • โศกนาฏกรรมที่ทำให้แร้งไทยสูญพันธุ์ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2535 ฝูงพญาแร้งไทย 30 ตัวเสียชีวิตจากการกินซากลูกอีเก้งที่ถูกวางยา ทำให้แร้งไทยสูญพันธุ์จากธรรมชาติ เหตุการณ์นี้นำไปสู่การกำหนด "วันอนุรักษ์แร้ง" ในประเทศไทย
  • การฟื้นฟูประชากรแร้งในไทย นักอนุรักษ์ไทยพยายามฟื้นฟูแร้งที่บินอพยพจากหิมาลัย โดยในปี 2552 ได้ปล่อยแร้งหิมาลัย 10 ตัวในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และพบว่ามันสามารถเดินทางไกลกว่า 3,980 กม. ไปถึงจีน แสดงถึงความสำเร็จในการช่วยเหลือสัตว์หายากนี้

เมื่อวันที่ 14 กุมภาปี 2535 ได้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมอันน่าสลดใจขึ้นในวงการอีแร้งของไทย กล่าวคือ ณ เวลานั้นที่ป่าห้วยขาแข้ง นายพรานใจฉกาจกลุ่มหนึ่งได้ลูกอีเก้งมาตัวนึง จึงหมายใจจะใช้ลูกเก้งนี้เปนกับดักล่อเพื่อกำจัดเสือโคร่งตัวร้ายที่มาทำลายความสงบสุขของหมู่บ้านโดยการวางยาพิษใส่เข้าไปในเนื้อลูกอีเก้งที่วางล่อตะเข้เอาไว้เป็นเปนเหยื่อ

อีทีนี้จะเป็นด้วยเคราะห์กรรมบันดาลหรือโชคหามยามร้ายอะไรก็ไม่รู้ พญาอีแร้งผู้นำแร้งฝูงสุดท้ายในประเทศไทยแกบินร่อนไปมาบนเวหานภาอากาศเห็นซากลูกอีเก้งสภาพเหมาะสมน่ากิน ตัวหัวหน้าเรานี้ก็โฉบร่อนลงปฏิบัติการจิกเข้าที่พุง เอาหัวมุด_สาวไส้เก้งออกมากิน (อีแร้งมีหัวล้านก็เพราะเหตุนี้เวลามุดเข้าไปสำรวจเครื่องในของเหยื่อแล้วถ้ามีผมมันจะยุ่งและก็เปรอะเปื้อนเป็นที่สะสมของเชื้อโรค)

 

14 กุมภา วันพญาแร้งไทย

 

กินไปได้สองคำก็พยักหน้าหงึกงักบอกกล่าวให้ลูกน้องเข้ามาร่วมวงรับประทานสู่กันกินได้ อีแร้งชายหญิงทั้งหลายในฝูงอีก 29 ตัวทั้งเด็กแก่ก็พร้อมใจกันร่วมวงสัมมนาปรึกษาปัญหาความอร่อยของเนื้อเก้งวัยอ่อนกันคนละหนุบละหนับ ชั่วพริบตาซากเก้งก็หายสูญกลายเป็นโครงกระดูกขาวโพลน ซึ่งก็ไม่ได้หายสูญแต่เพียงเนื้ออีเก้งหรอกงานนี้ ชีวิตของพญาแร้งไทยกับฝูงทั้งสามสิบตัวก็ม่องเท่ง ตกที่นั่งเท่งทึงตามอึเก้งเขาไปด้วยด้วยฤทธิ์ยา ตรงตามภาษาคลาสสิกใช้คำว่าเดทสะมอเร่_ดับสะเหมียงเกลี้ยงกล้อง!

ในขณะที่พ่อเสือโคร่งตัวดีเราจะคงมีวิชาแคล้วคลาดปลอดภัยจากครูเสือผู้ใหญ่ท่านได้สอนทิ้งไว้ให้จึงรอดจากภยันตรายแสนสาหัสในครั้งนี้ กลายเป็นที่พญาแร้งและคณะตกกลับรับเคราะห์แทน ด้วยนิสัยปรารถนานิยมจะกินแต่ซากศพไม่อยากจะออกแรงไปเที่ยวล่าสัตว์ตัวเป็นๆ เป็นอาหารรับประทานอย่างสัตว์อื่นเขา_เวรกรรม!

วงการอนุรักษ์สัตว์ป่าของไทยจึงพากันกำหนดให้วันที่ 14 กุมภาเป็นวันพญาแร้งโลกเพื่อรำลึกถึงโศกนาฏกรรมที่ทำให้เเร้งไทยสูญพันธุ์จากธรรมชาติไป ในครานี้

 

14 กุมภา วันพญาแร้งไทย

 

ชั่วแต่ว่าวันพญาแร้งของโลก ทางสากลเขากำหนดเอาไว้แล้วในเดือนกันยายนจึงไม่อาจจะไปคัดง้างความมีอยู่ก่อนของเขาได้ แต่เพื่อไม่ให้คาจิตติดใจ ฝ่ายเราเรียกชื่อใหม่เสียว่าเป็นวันอนุรักษ์แร้ง ก็ให้บังเอิญไปตรงกับวันวาเลนไทน์ของเขากันพอดี ซึ่งก็น่าจะไม่เป็นไรในเมื่อมันเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายเกิดขึ้นในวันนั้นจริงๆนี่นา การแสดงออกถึงความรักของคนที่มีต่อแร้ง ก็ไม่น่าจะขัดแย้งอะไรกับวันแห่งความรักวาเลนไทน์ชนิดนี้

ส่วนในกรณีการวางยาฆ่าเสือโคร่งนั้น ผู้สันทัดกรณีบอกกล่าวเอาไว้ว่าอย่าเชื่อเลยปากคำนายพราน คำให้การออกจะทะแม่งๆ หากว่าเสือโคร่งมาเกเรเกตุงกับชาวบ้านป่าแล้วไซร้คนล่าใช้วิชายิงเอา ด้วยกระสุนชนิดต่างๆไม่ง่ายกว่าหรือ

ท่านว่าโดยไถยจิตที่แท้จริงแล้วงานเลือกใช้วิธีวางยาฝังไว้ในเหยื่อ มีเจตนาจะให้เสือตายโดยหนังของเสือโคร่งสะอาดบริสุทธิ์ไร้ร่องรอยกระสุนยามถลกไปขายแล้วย่อมจะได้ราคาแพงคุ้มค่าความตายเสือเสียล่ะมากกว่า_ และที่สำคัญคือป่าห้วยขาแข้งมันเป็นป่าอนุรักษ์อันดับสำคัญจะไปมีหมู่บ้านชุมชนอะไรอยู่ในนั้น อันนี้ก็รับฟังได้ว่ามันน่าจะเข้าเค้าๆ

ส่วนอันว่าคำว่าอีแร้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าใครกำหนดว่ามันจะต้องเป็นอีพอๆกันกับอีกาและอีเก้งซึ่งก็ไม่เห็นจะกล้าเรียกกันว่า

ไอ้กาหรือไอ้เก้งซึ่งกลายเป็นคำหยาบคำโลนขึ้นมาทันที พอมีการเปลี่ยนเพศ_แปลก!ครั้นพอจะกำหนดให้เป็นนางแร้ง นางกาก็พาให้รู้สึกอีหลักอีเหลื่อ เอ้ย นางหลักนางเหลื่อเข้าไปอีก!

เรื่องแร้งนี้ ถ้าจะพูดกันให้เพราะ โดยอาศัยภาษาบาลีสันสกฤตก็ต้องว่าคิชฌ_คิชฌกูฏ (Gijjha Kuta) ก็แปลว่า หัวอีแร้ง

ท่านที่เดินทางไปแสวงบุญที่อินเดียในเเดนพุทธภูมิ ยามลงเครื่องบินที่สนามบิน (โพธิ)คยา รัฐพิหารแล้วมุ่งหน้าต่อไปยังกรุงราชคฤห์ (Rajgr) จะได้พบเขาคิชฌกูฏซึ่งมีลักษณะที่คล้ายกับมีหัวอีแร้งงอกขึ้นมาเป็นหินอยู่บนยอดเขาแล้วหัวนี่ก็มีจงอยปากและอ้าปากเสียด้วย!

เขาคิชฌกูฏนี้เป็นสถานที่ประทับจำพรรษาของพระพุทธเจ้าสมณโคดมของเราในพรรษาที่2,5,7 และพรรษาสุดท้ายก่อนปรินิพพาน.

 

14 กุมภา วันพญาแร้งไทย

 

ท่านที่อยากขึ้นไปกราบสักการะสถานที่เคยประทับแต่ไม่มีปัญญาจะไต่ขึ้นไปด้วยขาไม่ดี/ หัวใจอ่อนแรง อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลอินเดียได้จัดการทำกระเช้าลอยฟ้าเอาไว้ให้ซึ่งกระเช้านี้มีเทคโนโลยีที่น่าสนใจใช้แค่เก้าอี้เหล็กพับได้อย่างของไทยแล้วก็ใส่อุปกรณ์ความปลอดภัยนิด เอาเชือกแขวนจากนั้นเราก็เตรียมพร้อมให้เก้าอี้นี้วนมาช้อนเราจากข้างหลัง ทรุดตัวลงนั่งก็กระเช้าจะพาเราห้อยต่องแต่งข้ามความลาดชันไปเพื่อกราบสักการะมูลคันธกุฎิของพระพุทธเจ้าสมณโคดมบนยอดคิชฌกูฏได้ทันทีสมปรารถนา โดยที่เดินไม่ไกลมาก

แร้งที่ตัวสวยงามเท่ดีจะต้องเป็นแร้งสายพันธุ์หิมาลัย ว่ากันว่ามันบินอยู่ในความเยือกเย็นของภูเขาแถวนั้นอาหารการกินก็มีอุดมสมบูรณ์ไม่ได้จะต้องไปยุ่งยากแสวงหา ด้วยชาวทิเบตชาวเนปาลยามถึงแก่มรณกรรมแล้วนั้นทายาทไม่เอาไปฝังหรือไปเผาให้เสียเวลาแต่ว่าทำการศพกลางอากาศให้ sky burial ฝังกับฟ้า หมายความว่าให้สัปเหร่อหั่นร่างกายเป็นท่อนๆ ทิ้งไว้ให้เหมาะสมดีเป่านกหวีดสองสามทีฝูงแรงก็จะบินลงมากินซากคนนั้นๆ ได้ผลลัพธ์ออกมาเปนเนื้อกระดูกขาวโพลนเป็นสิ่งสุดท้าย ซึ่งถ้าเป็นฝ่ายไทยก็ต้องเอาไปจำเริญ (ทิ้งไปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง) เป็นการต่อไป แต่ทิเบตนั้นก่อนศาสนาพุทธเข้ามามีบทบาท ในอดีตกาลนานมาทิเบตนับถือเป็นศาสนากึ่งผีกึ่งธรรมชาติมาก่อน ดังนั้นแล้วกระดูกของคนที่แร้งชำระเหลือทิ้งไว้นำไปใช้ประโยชน์ได้อีกโดยทั่วไปจะนำไปทำเป็นแตรสำหรับเป่า โดยล้วงเอาไขกระดูกข้างในออกเสียเจาะเป็นรู คราวนี้เป่ามีเสียงได้ ส่วนกระดูกหน้าแข้งที่ยาวดีและมีความแข็งแรงสูงนั้นเขาเอาไปใช้ทำไม้ตีกลองถึงเวลาจะเข้าทำสมาธิอะไรๆถ้าใช้วิธีการเคาะกลองหรือเคาะอุปกรณ์ทำเสียงตึ่บตึ่บก็ใช้กระดูกขาคนนี่แหละทำเคาะ ก็ได้ปลงอสุภกรรมฐานไปด้วยในเวลาเดียวกัน _ ไอ้หยา!

เรื่องอย่างนี้ทิเบตถือว่าเป็นการทำทานครั้งสุดท้ายของเจ้าของร่างแก่สรรพสัตว์ โดยท่านเป็นประเทศที่ไม่ได้มีความกังวลในการเกิดแก่เจ็บตายมากนักเพราะเข้าใจดีว่าเป็นวัฏจักรของธรรมชาติเป็นเรื่องปกติแสนจะธรรมดาเกิดมาเดี๋ยวก็ตาย ตายแล้วเดี๋ยวก็เกิดใหม่ ไม่ได้ความมุ่งมาดปรารถนาที่จะดำรงชีวิตอยู่ในภพใดหนึ่งภพหนึ่งให้มีความยืดยาวนานไปจนสุดใจเหมือนกับพวกฝรั่งคิดว่าชีวิตมีครั้งเดียว (we only live once)

ข้างฝูงแร้งในเมืองไทย ก่อนหน้าที่จะมาถึงยุคการอนุรักษ์ ถ้าพูดกันให้สนุกปากก็ต้องพูดว่าแร้งวัดสระเกศ หมายความว่าที่วัดสระเกศใจกลางกรุงเทพพระมหานครนี้ ครั้งหนึ่งเกิดเหตุห่าลงในปีระกา อหิวาตกโรคระบาดเป็นการทั่วไปอัตราการตายของผู้คนในยุคนั้นสูงมากเกินคาดฝัน

อีทีนี้การจะทำศพคนที่มีการตายปริมาณมหึมาขนาดนั้นมันเป็นไปได้ยากถ้าจะจุดไฟเผาขึ้นมาให้พร้อมกันทั้งหมดก็มีหวังว่าเพลิงไหม้พระนครแน่นอน ศพต้องเอาไปทิ้งกันไว้ที่ป่าช้าวัดสระเกศซึ่งเปนวัดใหญ่ใกล้ประตูผีของเมือง ซึ่งในบริเวณตรงนั้นเป็นแอ่งน้ำอยู่ด้วย คนใจกล้าอย่างเช่นสัปเหร่อก็ไม่กังวลอะไรแต่กำลังของคนใจไม่กล้ามันมีเยอะกว่าสัปเหร่อต้องทำงานอยู่แต่เพียงลำพังทิ้งศพลงไปในบ่อนั้นแล้วไม่มีวันหมดสิ้นเสียทีมีแต่ศพใหม่เข้ามาเรื่อย ตนเองก็ชำแหละไม่ทัน จังหวะพญาแร้งยุคนั้นพากันนำพรรคพวกมาจิกกินเนื้อหนังมังสาไส้พุงของศพที่เกลื่อนกลาดอยู่จนกระทั่งสำเร็จได้มาแต่กระดูกสัปเหร่อก็ปล่อยไปให้แร้งทำกิจแล้วจึงเข้าแย่งกระดูกไปทำการฌาปนกิจได้ต่อไป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลนั้นทรงสลดสังเวชพระราชฤทัยเป็นที่ยิ่งปรึกษาคณะแพทย์ฝรั่งต่างๆ

แล้วหาทางพัฒนาวัคซีนก็ไม่ทันองค์ความรู้ไม่มีทั้งระบบการชลประทานก็ห่วยน้ำเน่าจากบ้านไหนก็ไหลวนกลับเข้าไปบ้านคนอื่นเมื่อเกิดเหตุการณ์ใช้น้ำที่มีการปนเปื้อนของเชื้ออหิวาต์นี้แล้วก็เกิดเป็นเหตุระบาดตายหมู่กันทั่วไป

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ทำพระราชพิธีอาพาธพินาศให้ยิงปืนใหญ่ทั่วพระนคร ทำนองว่ายิงใส่เชื้อโรคนั้น

โดยมีกุศโลบายปลุกขวัญราษฎร ทั้งห้ามผู้คนออกจากบ้านด้วยว่าตัวอัปมงคลจะวิ่งพล่านหนีกระสุนปืนใหญ่อยู่เป็นการทั่วไป ไม่ให้คนออกมา อันนี้แล้วก็ที่จริงก็คือหาทางป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายตรงกับหลักการเวิร์คฟอร์มโฮมปัจจุบันนี้

 

14 กุมภา วันพญาแร้งไทย

 

หน้าที่ของแร้งวัดสระเกศที่จริงแล้วมีคุณประโยชน์อยู่พอสมควรนอกเหนือจากการกินซากศพแล้ว สมเด็จพระพระราชาคณะในยุคนั้นท่านจะนำเอาลูกศิษย์ซึ่งเป็นภิกษุสามเณรต่างๆมาศึกษาทำการปลงอสุภกรรมฐานที่ป่าช้าบริเวณนี้เป็นการประจำ สมเด็จมีรับสั่งว่าอนุญาตให้สามเณรทุกรูปกอดจูบลูบคลำศพหญิงสาวที่เข้ามาใหม่ๆและสวยๆได้ทุกคนโดยไม่ถือเป็นอาบัติแต่ก็หามีผู้ใดกล้าเข้าไปปฏิบัติการลวนลามศพตามอย่างที่สมเด็จประทานอนุญาตไว้ให้ได้ ทุกฝ่ายก็ซาบซึ้งในกฎแห่งความเป็นจริงว่าอันเนื้อหนังมังสานั้นมันมีประโยชน์อยู่แต่เฉพาะตอนเป็นและตอนยังสวยอยู่แต่เมื่อแก่ลงแล้วก็ไม่มีใครปรารถนานอกจากพวกบ้าคลั่งคนแก่แต่เมื่อตายลงไปแล้วจะหามีพวกคลั่งศพเข้าไปอีกก็หาได้พบไม่ ด้วยเหตุว่ามนุษย์นั้นแปรสภาพเน่าเปื่อยเละเฟะไปแล้ว ผู้แลเห็นย่อมหาได้มีจิตปฏิพัทธ์อยากจะสังวาสขึ้นมา อันนี้ก็ถือเป็นคุณประโยชน์ของป่าช้าและผู้กำจัดขยะเช่นอีแร้งซึ่งมาปรากฏตัวในสถานการณ์พอดี

ส่วนประเด็นที่ว่าแร้งนั่นบินมาจากไหนถึงจะมาชุมนุมกันอยู่ในพระนครกินศพกันได้เยอะขนาด พงศาดารกล่าวถึงว่าครั้งหนึ่งมีหลวงตาเจ้าอาวาสวัดในจังหวัดพิจิตรเลี้ยงแร้งไว้ตั้งแต่เด็ก (ไม่ใช่ว่าหลวงตาเป็นเด็กแต่หมายถึงแร้งน่ะเป็นเด็ก) ท่านตั้งชื่อของท่านว่าเจ้าหงษ์ทองแล้วก็นำผ้าแดงผูกคอเจ้าหงษ์ทองของท่านไว้เป็นสัญลักษณ์หมายไว้ว่าเป็นแร้งท่านเลี้ยง กาลเวลาผ่านมาก็กลายเป็นแร้งหนุ่ม ท่านเจ้าคุณกลายเปนยศหลวงตา หลวงตาลงมาทำสังฆกิจที่กรุงเทพผ่านวัดสระเกศและเห็นว่าฝูงแร้งลงรวมกันกินซากผี มีแร้งตัวหนึ่งผูกผ้าแดงอยู่ที่คอ ท่านเจ้าคุณก็ตบเข่าผางว่าพ่อหงษ์ทองมาไกลถึงนี่

ดังนี้แล้วจะเห็นอำนาจพิสัยทำการของอีแร้งว่าไม่ธรรมดาสื่อสารกันอย่างไรก็ไม่รู้แหละแต่ชั่วระยะเวลาสัก 400 กิโลเมตรนั้น คนเดินเดินทางมาได้แรงก็บินมาได้เช่นกัน ทั้งนี้เทคโนโลยีการวิเคราะห์การย้ายถิ่นของนกโดยนักปักษีวิทยานั้นเขาจะกระทำกันโดยมีระบบการติดอุปกรณ์ติดตามที่มีความทันสมัยมากกว่าผ้าแดงกล่าวคือ มีทั้งติดขา มีทั้งระบบดาวเทียม ทำให้พบว่าแร้งหิมาลัยบินไกลมากถึง 4,000 กิโลเมตร สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทยได้ ฟื้นฟูสุขภาพอีแร้งที่บินมาตกในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วไทยและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ

โดยในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 ได้ปล่อยอีแร้งสีน้ำตาลหิมาลัย (Gyps himalayayanus) 10 ตัว ที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และคล้อยหลัง 3 เดือน ได้รับรายงานจาก Chanchun Zoological and Botanical Park เมืองจินลิน ประเทศจีน แจ้งว่าพบอีแร้งสีน้ำตาลหิมาลัย 1 ตัว ที่เมืองฉางชุน มณฑลจินลิน มีเครื่องหมายห่วงขาและแถบปีกที่ระบุหมายเลขประจำตัวนกจากประเทศไทยแสดงว่านกอพยพไปเป็นระยะทางไม่ต่ำกว่า 3,980 กม. ทำให้ทราบเส้นทางอพยพ ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าการช่วยเหลือฟื้นฟูนกอพยพประสพผลสำเร็จ ทำให้นกมีชีวิตรอด และดำรงชีวิตอยู่ในธรรรมชาติได้ต่อไป

ดังนี้แล้วเจ้าพญาแร้งต่างๆที่มาจากหิมาลัยตามลมพัดหน้าหนาวเรามักจะพบพวกพวกเขาที่จังหวัดภาคตะวันตกเช่นเพชรบุรีตามกระแสเส้นทางบินของเขาแร้งเหล่านี้มีตัวขนาดขนาดใหญ่มากและไม่สามารถกระพือปีกปุ๊บแล้วบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้เลยทันทีเหมือนนกอื่นทั่วไป จำเป็นจะต้องทำการอาศัยแรงลมพัดหนุนใต้ปีกและต้องมีรันเวย์ให้กระโดดแท็กซี่ขึ้นได้เมื่อลมมาเหมือนกับจังหวะเครื่องบินเทคตัว หากท่านใดได้พบเจอก็ขอความอนุเคราะห์อย่าพึ่งทำการไล่รึทำอะไรมันเลยขอให้ได้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเขาได้ดูแลพวกมันกลับคืนสู่ธรรมชาติต่อไป