บลจ.อเบอร์ดีน ชี้เป้าดัชนี SET Index ปี 68 กรณีดีสุด 1,450 จุด EPS โต 5-8%

23 ก.พ. 2568 | 08:00 น.

บลจ.อเบอร์ดีน ประเมินตลาดหุ้นไทย 6 เดือนแรกปี 68 ยังมีความผันผวน จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ ชี้เป้าดัชนีกรณีดีที่สุดปีนี้แตะ 1,450 จุด EPS โต 5-8% แตะ 90-93 บาท/หุ้น

นายณัฐนนท์ อรัณยกานนท์ Fund Manager , Asian Equities บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ปรับตัวลลดลง มองว่าเกิดจากวิกฤตความศรัทธาต่อตลาดทุนที่หายไป ด้านการเติบโตของเศรษฐกิจเองก็ไม่ได้สูงมาก

ส่วนบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังไม่มีความน่าสนใจ เพราะยังไม่มีหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นแรงดึงดูดการลงทุน รวมถึงตลาดเผชิญหน้ากับแรงขายของกองทุน LTF ออกมาอย่างหนักในช่วงต้นปี 68 นี้ โดยในอดีตย้อนหลัง 10 ปี ค่าเฉลี่ย P/E อยู่ที่ระดับ 15-16 เท่า ปัจจุบันปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ P/E ประมาณ 13 เท่า

มองว่าหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกปี 68 ยังคงมีความผันผวน จากภาคการส่งออกยังกดดัน, การรอนโยบายภายในประเทศ และปัจจัยเศรษฐกิจสงครามการค้าโลก ซึ่งตลาดยังรอปัจจัยบวกสนับสนุน โดยมองว่าแรงขายของ LTF ชะลอตัวลงแล้ว นักลงทุนที่อยากขายมองว่าจะขายตั้งแต่รอบที่หุ้นไทยถูกเทขายอย่างหนักในช่วงม.ค. 68 ที่ผ่านมา

ด้านการท่องเที่ยวกลับมากระตุ้นภาคบริการดีขึ้น อีกทั้งคาดว่าภาครัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม พร้อมกันนี้มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะลดลงปีนี้อย่างน้อย 0.25% นโยบายทางการเงินผ่อนคลายมากขึ้น ในส่วน GDP ไทยตลาดมองการเติบโต 2.5-3% ซึ่งบลจ.อเบอร์ดีน มองการเติบโตไว้ที่เฉลี่ยราว 2.8%

"มองกรณีที่ดีสุด คือ มีปัจจัยบวกตามที่กล่าวมาข้างต้น ก็มีโอกาสช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และมองเป้าหมายดัชนี SET Index ในกรณีที่ดีสุด (Best Case) ที่ระดัย 1,450 จุด ส่วนกรณีต่ำสุดคาดหวังว่าจะไม่หลุดแนวรับที่ระดับ 1,200 จุด ซึ่งความเสี่ยงที่มี คือ ความไม่แน่นอนของนโยบายของประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" และความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศ"

ทั้งนี้ คาดกำไร (EPS) SET Index ในปี 68 จะเติบโตประมาณ 5-8% หรือ แตะระดับ 90-93 บาทต่อหุ้น สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในระยะกลาง-ยาว มองกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ การท่องเที่ยว กลุ่มที่นำระบบ AI เข้ามาใช้ในระบบงาน-บริหารต้นทุน

จากกรณีที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เบื้องต้นยังไม่สามารถคาดการณ์จุดประสงค์ได้ว่าเป็นการเข้ามาเพื่อเอาปันผลหรือไม่ จึงยังไม่กล้าฟันธงว่าเม็ดเงินต่างชาติกลับมาแล้วจริงๆ ซึ่งหลังจากนี้คงต้องรอดูความเชื่อมั่นที่กลับมามีความชัดเจนมากกว่านี้ก่อน เพราะปัจจุบันดูเหมือนตลาดหุ้นไทยเองก็มีความไม่แน่ไม่นอนอยู่มาก

นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ Head of Fixed income and Asset Allocation บลจ. อเบอร์ดีน กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนผู้นำประเทศสหรัฐฯ เป็นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มองว่าสิ่งที่ต้องจับตาคือนโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆ ในปัจจุบันตลาดให้ความสนใจประเด็นการปรับขึ้นภาษีกับประเทศที่ส่งออกมายังสหรัฐฯ

นอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เป็นนโยบายสำคัญที่อาจจะส่งผลทั้งในแง่ลบและบวกต่อเศรษฐกิจโลก เช่น การลดภาษีในองค์กรและบริษัทเอกชน เพื่อเพิ่มการจับจ่ายในสหรัฐฯ มากขึ้น รวมถึงแนวทางการลดต้นทุนพลังงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังต้องติดตาม

ส่วนแนวทางการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ มองว่าในปี 68 นี้ มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยไม่มากอย่างที่เคยคาดการณ์ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณออกมา ส่งสวนทางกับทิศทางในยุโรปที่มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เงินเฟ้อสูง โดยหลังจากนี้ต้องดูนโยบายของสหรัฐฯ ที่มีผลกระทบต่อประเทศต่างๆ และการตอบโต้ของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายสหรัฐฯ

ทั้งนี้ บริษัทมีมุมมองต่อสินทรัพย์ต่างๆ ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า ดังนี้ ตราสารหนี้ทั่วโลก และพันธบัตรรัฐบาลในประเทศพัฒนา ยังมีมุมมองเป็น Neutral เนื่องจากมีมุมมองว่าสหรัฐฯ จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากเท่าที่ตลาดเคยคาด และความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจจะกระทบเงินเฟ้อมากน้อยแค่ไหน

"มองสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตยังมีแนวโน้มผลตอบแทนที่ดี เพราะขึ้นกับการเติบโตของบริษัทหากยังมีกำไรดีโอกาสจ่ายปันผลสูงอยู่ แนะนำกองทุน abrdn Global Enhanced Fixed Income Fund (ABGFIX-A)"

ส่วนหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนา (DM) มองว่ายังมีความน่าสนใจ โดยสหรัฐฯ มีรายได้ที่แข็งแกร่ง มีปัจจัยหนุนด้านกฎระเบียบและภาษี และปัจจัยพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ยุโรปได้รับการสนับสนุนจากการประเมินมูลค่า ที่มุมมองของบลจ.ยังสนใจหุ้นขนาดเล็ก-กลางในสหรัฐฯ

เนื่องจากปัจจัยการลดหย่อนภาษี, การควบรวมและเข้าซื้อกิจการเร่งตัวขึ้นในหุ้นกลุ่มดังกล่าว กองทุนที่แนะนำได้แก่ abrdn SICAV I –North American Smaller Companies Fund (Master Fund), abrdn American Growth – Smaller Companies Fund - A (ABAGS) และ abrdn Global Innovation Equity Fund (ABINNO) เป็นต้น 

รวมถึงตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (EM) ในเชิงบวก จากการเติบโตของจีน การกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และปัจจัยขับเคลื่อนในด้านปัญหาประดิษฐ์ (AI) ที่มุมมองของบลจ. แนะนำประเทศที่น่าสนใจได้แก่ อินเดีย เพราะแม้ว่าอินเดียมีราคาหุ้นค่อนข้างแพง แต่บริษัทยังมีคุณภาพสามารถส่งมอบศักยภาพในระยะยาวได้

นอกจากนี้ อินเดียไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศยังเป็นตัวเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ กองที่แนะนำได้แก่ กองทุน abrdn India Growth Fund (ABIG) และ abrdn SICAV I -Indian Equity Fund (Master Fund) เป็นต้น