เมื่อสงครามการค้าโลกกำลังปะทุ

04 ก.พ. 2568 | 09:23 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ก.พ. 2568 | 10:58 น.

เมื่อสงครามการค้าโลกกำลังปะทุ โดยสมหมาย ภาษี

หลังจากข่าวการยุติสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสและประเทศในตะวันออกกลางบางประเทศได้เป็นจริงขึ้นมาได้ไม่กี่สัปดาห์ ก็เกิดปรากฏการณ์ของสงครามการค้าโลกที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กำหนดเป็นแนวนโยบายหลักของประเทศมาตั้งแต่เริ่มเลือกตั้งประธานาธิบดีออกมาให้เห็นชัดขึ้น นั่นคือ การจะปรับขึ้นภาษีของสินค้านำเข้าหลักๆ ที่ประเทศอเมริกาเสียเปรียบกับประเทศเม็กซิโก แคนาดา และจีน โดยสำนักข่าวทั่วโลกได้ระดมทำข่าวให้เสียงปี่เสียงกลองดังขึ้นทุกขณะ

จนกระทั่งเมื่อวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมานี้ ก็มีข่าวออกมาจากประเทศผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะจากประเทศในแถบเอเชีย ตัวอย่างเช่น จีนก็ได้แสดงจุดยืนออกมาชัดเจนว่าจะต้องโต้ตอบสหรัฐกลับเช่นเดียวกัน หรืออย่างประเทศญี่ปุ่นนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ก็ออกอาการหงุดหงิดมากกับผลที่จะกระทบต่ออุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ของประเทศเขา ซึ่งไปตั้งโรงงานผลิตรถยนต์มากมายหลายยี่ห้อในประเทศเม็กซิโกแล้วให้เม็กซิโกส่งรถราคาถูกไปขายในตลาดอเมริกาอย่างสำราญใจมานาน ซึ่งได้มองเห็นชัดว่ารถจากญี่ปุ่นจะต้องมียอดขายตกต่ำลงอย่างน่าใจหายแน่

ส่วนประเทศสาธารณรัฐเกาหลีและไต้หวันที่ส่งสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ ตั้งแต่ชิป เซมิคอนดักเตอร์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และอีกมากมายไปขายให้สหรัฐอเมริกา ก็จะโดนการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐกระทบอย่างมากด้วยเช่นกัน

ข่าวของการจะขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐครั้งนี้ เมื่อรุนแรงขึ้นก็ทำให้ผู้นำและนักลงทุนของประเทศคู่ค้าเกิดภาวะตกใจ และแน่นอนได้ส่งผลกระทบต่อภาวะตลาดหุ้นอย่างรุนแรง ทำให้ตลาดหุ้นซึ่งหวั่นไหวง่ายทั่วโลกต่างติดลบทั้งกระดานกันระนาว รวมทั้งไทยที่ว่าผลกระทบอาจจะไม่มาก แต่ตลาดหุ้นก็ตกไม่แพ้กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมเช่นกัน

ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดในวันนี้เพราะผมเองคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าประเทศเล็กๆ อย่างไทยจะทำยังไงกัน เพื่อป้องกันผลกระทบจากสงครามการค้าโลกนี้ จะต้องทำอะไรก่อนอะไรหลัง แล้วในที่สุดด้วยความไม่ประสีประสาของไทยเราก็อาจถึงกาลเวลาต้องอ่อนเปลี้ยเพลียแรงหนักกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แล้วเราจะทนได้อีกนานสักเท่าไหร่กัน

ที่มองไม่เห็นทางออกไม่ใช่เพราะจะมีลักษณะสิ้นคิด ผมเห็นว่าเรามีรัฐบาลที่มุ่งแต่เรื่องโกยคะแนนนิยมโดยพูดแต่เรื่องแจกเงินให้ประชาชนเป็นหลัก เป็นรัฐบาลที่ต้องเผชิญกับปัญหาที่แก้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดมานานเป็นปีๆ มาแล้ว ไม่ว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่มีให้เห็นดาษดื่นทั่วในวงนักการเมืองและข้าราชการประจำ หรือปัญหาการขจัดควันพิษ PM 2.5 ปัญหาการต่อสู้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และแก๊งพนันออนไลน์ที่แผ่รบกวนคนไทยทั้งประเทศอยู่ในขณะนี้ ซึ่งล้วนแต่มองไม่เห็นมาตรการชัดเจนที่รัฐบาลจะแก้ให้ได้ผล แล้วรัฐบาลของไทยเราจะไปรับมือกับสงครามการค้าโลกที่กำลังประทุได้อย่างไรครับ

นี่ยังไม่พูดถึงปัญหารากเหง้าของประเทศทางเศรษฐกิจที่มีอีกมาก เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่หาทางลดไม่ได้ ปัญหาหนี้ด้านการคลังของรัฐบาลที่กำลังส่ออาการเตี้ยลงทุกปีๆ ปัญหาการการส่งออกที่ง่อนแง่นอยู่แล้ว ซึ่งเห็นชัดๆ ว่าจะโดนผลกระทบหนักถึงหนักมาก อย่าคิดว่าการท่องเที่ยวจะช่วยได้นะครับ เพราะนักท่องเที่ยวสมัยนี้มาเฉพาะเมืองที่มีทะเลเป็นหลัก ส่วนนักท่องเที่ยวที่ชอบมาดูอารยธรรมหรือวัดวาอารามที่เป็นชาวยุโรปนั้น ต่างต้องเผชิญกับภาวะน้ำมันและก๊าซแพง ค่าเครื่องบินก็แพง จนออกมาเที่ยวไม่ไหวแล้ว ทั้งหมดล้วนแต่เป็นอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาทำร้ายประชาชนคนไทยทั้งนั้น 

สงครามการค้าโลกที่ก่อขึ้นโดยประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐอเมริกาตอนนี้ยังเป็นขั้นเริ่มต้นเท่านั้น วันนี้ก็มีข่าวว่าทรัมป์จะยืดออกไปอีก 1 เดือน เพื่อพิจารณาและเจรจา แต่แค่ขยับจะปรับก็สามารถก่อผลให้เกิดความหวาดกลัวและอ่อนไหวต่อนักลงทุนได้ทั่วโลก โดยดูได้จากตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกที่หุ้นดิ่งลงหมด ซึ่งได้กระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ของไทยที่มีพื้นฐานเปราะบางอยู่แล้วอย่างเห็นได้ชัด สองปีที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ที่สำคัญแทบทุกแห่งพอประคองตัวกันได้ แต่ของไทยมีแต่อาการทรงกับทรุด เมื่อต้องมาเจอกับสงครามการค้าโลกที่จะรุนแรงขึ้นคราวนี้ ของเราจะมีอะไรเหลือ ขอให้ผู้มีอันจะกินทั้งหลายช่วยคิดกันด้วยเถอะ

แล้วใครที่ยังคิดฝันว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโตได้ 3 % ก็น่าจะคิดใหม่ว่าเอาแค่ 2 % มันจะไหวไหมครับ