การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

04 ธ.ค. 2564 | 10:27 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ธ.ค. 2564 | 17:35 น.
3.0 k

คอลัมน์ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

คนเมื่อก้าวเข้าสู่วัยใกล้ฝั่ง ถ้าเป็นผู้ที่มีฐานะดีพอสมควร หรือมีการสะสมทรัพย์สินไว้มากพอ มักจะเป็นผู้ที่เมตตาสูงหรือชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ผมมีเพื่อนที่สูงวัยหลายท่าน มีอยู่ท่านหนึ่งเวลาไปทานอาหารที่ร้าน ก็ชอบเรียกพนักงานบริการเข้ามา แล้วก็เริ่มแจกเงินทิปคนละร้อยก่อนเสมอ 


เวลาไปทานอาหารกับท่าน ผมมักจะต้องตัวลีบเสมอ เพราะพนักงานบริการเข้ามาหาท่านเกือบทั้งร้าน เฉพาะค่าทิปบางครั้งก็เกือบครึ่งหนึ่งของค่าอาหารไปแล้ว ผมเคยถามท่านว่า ทำไมท่านจึงใจกว้างเป็นแม่น้ำอย่างนี้ ท่านบอกว่าสมบัติที่มีอยู่ ใช้ทั้งชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด จะเก็บไว้ทำไมละ สู้สร้างความอิ่มอกอิ่มใจให้แก่ผู้อื่นจะดีกว่านะครับ

ผมเชื่อว่าหลายท่านก็อาจจะมีแนวคิดใกล้เคียงกันอีกเยอะ แต่การแสดงออกอาจจะไม่เหมือนกัน เพื่อนผมบางคนก็อาจจะชอบไปทำบุญทำทาน มีเงินเท่าไหร่ก็ทุ่มไปทำบุญตามวัดต่างๆ วัดไหนมีโครงการอะไรก็รีบไประดมเงินทุนเข้ามาช่วยทำบุญ บ้างก็ยังชักชวนเพื่อนฝูงไปร่วมทำบุญด้วย 


ขับรถผ่านเห็นวัดที่สร้างไม่เสร็จ เป็นต้องจอดรถแวะเข้าไปถามหลวงพ่อเสมอ ว่าท่านยังต้องการปัจจัยอีกเท่าไหร่? แล้วก็มักจะนำมาจัดการแสวงหาเพื่อนฝูงช่วยกันทำ ผมก็ถามว่าทำไมชอบยุ่งกับวัดกับวาจังเลย เขาตอบว่า “ทำบุญร่วมกันชาตินี้ ชาติหน้าจะได้กลับมาเกิดร่วมกันอีกไง” เอ้า....เป็นงั้นไป

เพื่อนบางคนก็ชอบทำบุญด้วยการให้ทานแก่คนที่ด้อยกว่า ซึ่งเพื่อนคนนี้อุปถัมภ์เด็กยากจนเยอะแยะไปหมด โดยเริ่มจากการไปรับเด็กจากบ้านเด็กกำพร้ามา แล้วต่อมาก็ไปรับเด็กไม่มีที่พึ่งพิงที่พ่อแม่เสียชีวิตมาเลี้ยงดูอีก บางครั้งเด็กที่เขารับมา ยังไม่รู้เลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขมาจากไหน? ดีหรือเลวอย่างไรก็ไม่สนใจ ขอให้ได้ช่วยเหลือเป็นพอ 


ผมก็มีโอกาสได้พูดคุยด้วย แต่ก็ไม่กล้าก้าวล่วงมากจนเกินไป ก็ได้แต่ถามถึงแนวคิดว่าคิดอย่างไรเท่านั้น เขาก็บอกว่า ในอดีตเขาเองก็ขาดพ่อมาตั้งแต่เด็กๆ โชคดีที่แม่ดิ้นรนส่งเสียให้เล่าเรียนจนมีวันนี้ จึงอยากจะแบ่งปันให้คนที่แย่กว่าเรา ด้วยการอุปถัมภ์ช่วยเหลือคนอื่นบ้างเท่านั้นเอง โดยที่เขาไม่ได้คาดหวังว่า เด็กๆ เหล่านั้นจะกลับมาตอบแทนหรือช่วยเหลือเขาในอนาคตหรือไม่
        

ยังมีเพื่อนอีกท่านหนึ่ง เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงดีมากๆ ท่านไม่ได้แต่งงาน จึงไม่มีผู้สืบสันดาน ท่านก็ชอบรับหลานๆ มาอุปถัมภ์ ดูแลหลานดีมากยิ่งกว่าแม่บางคนเสียอีก ให้การศึกษาที่ดี ให้เข้ามาทำงานด้วยกัน อยู่ติดกันยิ่งกว่าคู่แม่ลูกบางคู่เสียอีกครับ ผมเห็นยังอิจฉาหลานๆ เลยครับ ท่านเองก็บอกผมว่า ในวัยเด็กท่านเกิดที่ต่างจังหวัด เนื่องจากวัยเด็กท่านเรียนเก่งมาก จึงสอบเข้ามาเรียนในโรงเรียนเตรียมอุดมที่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศได้ 


ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกินความคาดหวังของทางบ้านมากๆ อีกทั้งครอบครัวยังไม่แน่ใจว่าจะส่งเสียท่านเรียนหนังสือได้อย่างไร เพราะฐานะทางบ้านก็แค่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งของสังคมเท่านั้น แต่ท่านโชคดีมากๆ ที่ได้บาทหลวงท่านหนึ่ง เห็นในความมุมานะของท่าน จึงรับมาอุปการะในช่วงที่ท่านเข้ากรุงมาเรียนหนังสือ ก็อาศัยบ้านของบาทหลวงท่านนั้น จนกระทั้งทำให้ท่านมีวันนี้ 


ซึ่งต่อมาบาทหลวงท่านนั้นกลับไปยังประเทศบ้านเกิด ท่านได้เคยเดินทางไปกราบบาทหลวงท่านนั้นถึงถิ่น ปรากฏว่าสร้างความภาคภูมิใจและอิ่มเอิบใจให้แก่บาทหลวงเป็นอย่างยิ่ง ท่านเล่าว่า ในการอุปถมภ์ของบาทหลวง ท่านไม่เคยคาดหวังว่าจะให้เด็กน้อยในอดีตคนนี้ กลับมาตอบแทนบุญคุณอะไรท่านเลย แค่เห็นว่าคนที่เคยได้ให้การช่วยเหลือ ได้เติบใหญ่ขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญของประเทศชาติ ท่านบาทหลวงก็ดีใจแล้ว
          

ผมเองก็มีความคิดและประสบการณ์เช่นเดียวกับท่าน เพราะในช่วงที่ผมได้เดินทางไปเรียนหนังสือที่ไต้หวัน ก็ได้รับการรับอุปการะจากหัวหน้าคุณครูผู้ปกครองของโรงเรียน เนื่องจากบุตรชายของท่านเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนกับผม จนกระทั้งวันหนึ่ง ได้รับโอกาสให้เข้าไปพักอยู่ในบ้านของท่าน และท่านก็ขอรับผมเป็นบุตรบุญธรรม ให้ข้าวให้น้ำผมมา 3 ปีเต็ม จนกระทั้งผมมีวันนี้ครับ 


ปัจจุบันนี้ยังคงเหลือเพียงแม่บุญธรรมอยู่ท่านเดียว ซึ่งอายุท่านก็เก้าสิบกว่าแล้ว และได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ส่วนคุณพ่อบุญธรรม ท่านได้เสียชีวิตหลังจากที่ผมกลับมาอยู่กรุงเทพฯได้ไม่นาน ช่วงที่ท่านเสียชีวิตผมยังกลับไปไต้หวันเพื่อร่วมงานศพ และได้ไปใส่ชุดไว้ทุกข์ในงานศพให้แก่ท่าน หลังงานศพคุณแม่บุญธรรมได้นำแหวนที่ท่านใส่มาตลอดสามสิบกว่าปีมาให้ผม และบอกผมว่าคุณพ่อบุญธรรมสั่งไว้ว่า ให้แบ่งสมบัติให้ผมด้วย ซึ่งแหวนวงนี้ผมยังคงเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกอยู่จนถึงทุกวันนี้เลยครับ
        

นี่คือการให้ที่ไม่ได้หวังผลตอบแทนของมนุษย์ ที่บ้างครั้งเราก็คาดคิดไม่ถึงหรอกครับ ว่าอนาคตข้างหน้าไม่ว่าจะอีกกี่สิบปี เด็กที่เคยได้รับโอกาสจากการให้นั้น จะเติบโตมาเป็นคนในสังคมแบบไหน และจะตอบแทนเราหรือไม่? ก็ไม่สำคัญเท่ากับการเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นคนดีในสังคม ซึ่งนับว่ายิ่งใหญ่มากจริงๆ ครับ