วิธีหาเงินง่ายๆ ของรายใหญ่ “บิ๊กล็อต-PP”

02 ก.ค. 2564 | 06:00 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ก.ค. 2564 | 17:52 น.
2.0 k

วิธีหาเงินง่ายๆ ของรายใหญ่ “บิ๊กล็อต-PP” : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,693 หน้า 13 ระหว่างวันที่ 4 - 7 กรกฎาคม 2564 By…เจ๊เมาธ์

>> BANPU ใช้เวลา 1 เดือน ในการดันราคาหุ้นจาก 12.00 บาท ขึ้นมายืนราคา 16.00 บาท โดยในระหว่างทางที่ดันราคาขึ้นมา ก็มีการเอาอนาคตมาขายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผลการดำเนินงาน หรือ เรื่องโครงการในอนาคตต่างๆ รวมไปถึงเรื่องยานยนต์ไฟฟ้าที่ทำอยู่ แต่ที่ผ่านมา BANPU ไม่เคยพูดเรื่องการเพิ่มทุนเลยสักครั้ง ทั้งที่เรื่องการเพิ่มทุนเป็นอีกเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการวางแผนล่วงหน้านานไม่น้อยกว่าเรื่องอื่นๆ แล้วอยู่ๆ BANPU ประกาศเพิ่มทุน 5,074 ล้านหุ้น โดยการออกหุ้นใหม่จำนวน 5,074 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 1,268.65 ล้านหุ้น ในอัตรา 4 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุน ในราคาหุ้นละ 5 บาท ส่วนที่เหลืออีก 3,805.93 ล้านหุ้น

แน่นอนว่าการประกาศเพิ่มทุนจะมีผลทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลง เพราะการเกิด Dilution Effect แต่การลากราคาหุ้นเพื่อหลอกนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนก่อนการประกาศเพิ่มทุนของ BANPU ในรอบนี้ มันดูเป็นความ “ตั้งใจ” ที่จะหลอกเอานักลงทุนรายย่อยไปปล่อยทิ้งให้ติดราคาหุ้น ซึ่งมันควรมีวิธีการอื่นในการประกาศเพิ่มทุนที่ดีกว่านี้
 
เอาตรงๆ เลย เจ๊เมาธ์คิดว่า BANPU ไม่ควรใช้วิธีการโง่ๆ และเกมการเงินเลวๆ แบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นกับบริษัทใหญ่ ที่อ้างธรรมาภิบาลมาตลอด แม้ว่าจะไม่มีส่วนได้เสียอะไรเลยจากเรื่องการประกาศเพิ่มทุนในครั้งนี้ แต่เจ๊เมาธ์ก็อยากจะบอกว่าเจ๊รู้สึกผิดหวัง...และหมดหวังกับหุ้นอย่าง BANPU บอกเลยว่าผิดหวังมากจริง ๆ 
 
>> ตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. จนถึงปัจจุบันราคาหุ้นของ UKEM ปรับตัวขึ้นมาเกือบเท่าตัว แต่หากจะเริ่มนับตั้งแต่ปลายปี 63 กลับพบว่านี่คือหุ้น 5 เด้งอีกหนึ่งตัวที่วิ่งขึ้นมาแรงมาก แรงจนตลาดฯ ต้องสอบถามหาสาเหตุแต่ก็จับอะไรดมไม่ได้สักอย่าง หรือหากถามถึงประเด็นดันราคาหุ้นยอดฮิตที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างการออกโทเคนหรือการทำธุรกิจกัญชงกัญชาทางผู้บริหาร UKEM ก็บอกว่าไม่สนใจแต่อย่างใด และถึงตอนนี้ประเด็นที่ถูกพูดถึงก็มีแค่ผลกำไร 55 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/64 เป็นกำไรที่มากกว่า 50% ของกำไรปี 63 ทั้งปี รวมถึงมีแนวโน้มว่าจะเป็นผลการดำเนินงานที่ดีกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น 
 
อย่าว่ายังงั้นยังงี้...เจ๊เมาธ์ก็ขอตั้งข้อสังเกตว่าที่ราคาหุ้นของ UKEM แรงขึ้นมาในรอบนี้มันเป็นระดับราคาหุ้นที่สูงที่สุดในรอบเกือบๆ 10 ปี เป็นเพราะมีมือพิเศษที่ไม่ปกติดันราคาหุ้นขึ้นมา ดังนั้นถ้าสนใจก็ต้องเฝ้าหน้าจอในดีนะคะ  บอกเลยว่าถึงตอนนี้มีหุ้นมีโอกาสถูกเทขาย มากกว่าโอกาสทำกำไรนะคะ  

>> มาดูวิธีการหาเงินง่ายๆ ของนักลงทุนที่มีเงินต่อเงิน  เพียงแค่ชื่อของ “สุระ คณิตทวีกุล” และ “หมอพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี” โผล่เข้าซื้อ “บิ๊กล็อต” JWD จากผู้ถือใหญ่...ทั้งสุระ และ หมอพงศ์  ได้ไปคนละ 20 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 12.80 บาท ต่ำกว่าราคาหุ้นหน้ากระดาน แต่ก็ทำให้หุ้น  JWD ถูกดันขึ้นไปปิดตลาดที่ราคา 15.70 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 10.56% ทำทั้งคู่มีกำไรทันทีแบบที่ไม่ต้องทำอะไร และถ้ายังไม่ลืม ก่อนหน้านี้ในวันที่ 25 พ.ค. ทั้งคู่ก็ได้เข้าไปซื้อ “บิ๊กล็อต” ของทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ หรือ III มาแล้วคนละ 15 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 8 บาท ก่อนที่ราคาหุ้นของ III จะถูกดันขึ้นไปชนซิลลิ่งที่ราคา 12.20 บาทในวันที่ 31 พ.ค. หลังจากที่ซื้อหุ้นไปเพียงแค่ 4 วัน 
 
ขณะเดียวกันหลายเดือนที่ผ่านมาทั้ง สุระ และ หมอพงศ์ศักดิ์ ต่างก็ได้เข้าไปซื้อหุ้น “บิ๊กล็อต” มาแล้วหลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น CHAYO GUNKUL และ MPV ซึ่ง “บิ๊กล็อต” ที่ว่าก็ทำให้ทั้งคู่รับเงินส่วนต่างของราคาหุ้นมาแล้วในแทบทุกบริษัท ดังนั้นคำพูดที่ว่าเข้าไปซื้อ JWD เพราะ “หวังผนึกกำลังเครือข่ายงานด้านโลจิสติกส์ร่วมกันในอนาคต” ก็อาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ก็อย่างว่า...ทำเงินระยะสั้นแบบไม่ต้องทำงานมันง่ายกว่าเยอะ เพราะเอาแค่มีชื่อเข้าไปซื้อหุ้น...เงินซื้ออาจจะยังไม่ต้องจ่าย แค่รับส่วนต่างของราคาหุ้นก็อิ่มไปทั้งผู้ถือหุ้นเดิมและผู้ถือหุ้นใหม่แล้วหละเจ้าค่ะ  

เจ๊เมาธ์เห็นราคาที่วิ่งแรงของหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ DELTA KCE และ HANA แล้วมันก็ทำให้เจ๊อดที่จะเอาหุ้นทั้ง 3 ตัวมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ ว่าสถานะในปัจจุบันและอนาคตของหุ้นกลุ่มนี้จะมีทิศทางไปอย่างไร

กรณีของ DELTA รายนี้ถ้าไม่นับเรื่องที่ราคาหุ้นถูกดันขึ้นไปไกลจนเป็นที่หวาดเสียวและระแวงอยู่ตลอดเวลา ว่า จะอาจจะถูกทิ้งหนักๆ ขึ้นมาสักวัน รวมถึงหุ้นยังติดแคชบาลานซ์ ต้องถือว่า DELTA เป็นหุ้นอีกตัวที่ใช้ได้เลยทีเดียว เนื่องจากบริษัทฯ ยังมีโอกาสที่รายได้จะโตขึ้นอีก 5-10% ทั้งจากยอดขายที่มีออเดอร์เข้ามาล่วงหน้าต่อเนื่อง 3-6 เดือนและค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ในขณะเดียวกันบริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตด้วยงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาทเพื่อซื้อที่ดินย่านบางปูกว่า 20 ไร่ เพื่อใช้สร้างโรงงานและคลังสินค้า ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีความหวัง...แต่ก็ยังเป็นแค่ขั้นตอนการเตรียมการและคิดว่าจะทำเท่านั้น

>> ในส่วนของ KCE จนถึงปัจจุบันบริษัทได้เร่งกำลังการผลิตจนเต็มที่ไปแล้ว ซึ่งนั่นก็ทำให้ยอดขายก็ถือว่าเพิ่มเติมขึ้นมาอีกไม่ได้แล้วอีกเช่นเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ KCE มีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นก็มีเพียงแค่เรื่องของค่าเงินบาทที่อ่อนค่ารวมไปถึงการที่บริษัทฯ ได้ปรับราคาสินค้าขึ้นมา 5% ดังนั้นสำหรับ KCE ในระยะสั้น น่าจะยังพอได้เห็นอะไรอยู่บ้าง...แต่ถ้ามองกันยาวๆ KCE ก็ไม่มีอะไรพิเศษกว่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่ม
 
ทางด้านของ HANA รายนี้มีข่าวดีเรื่องที่สินค้าในกลุ่มเซมิคอนดัคเตอร์ กำลังขาดตลาด เป็นผลดีโดยตรงกับยอดขายของบริษัทรวมไปถึงการได้อานิสงส์จากการอ่อนตัวของค่าเงินบาท ถึงแม้ปี 64 จะเพิ่มกำไรสุทธิให้โตขึ้นได้ 22% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ถึงตอนนี้ HANA ใช้กำลังการผลิตไปแล้วถึง 95-98%  จะสร้างรายได้มากกว่าเดิม

>> สรุปเอาง่าย ๆ เลยว่าหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ได้วิ่งมาจนถึงปลายทางกันแล้ว ถ้าราคาหุ้นจะไปต่อก็น่าจะไม่ใช้เรื่องพื้นฐาน...แต่จะเป็นเรื่องของคนดันมากกว่า ดังนั้นการที่หุ้นกลุ่มนี้จะพักตัวหรือถูกทิ้งก็ยังมีความเป็นไปได้สูงอยู่เหมือนเดิมนะคะ ถ้าชอบ...ซื้อแล้วอย่าลืมเฝ้าจอดี ๆ เผื่อเอาไว้ว่าถ้าถูกทิ้งแล้วจะได้ออกทันยังไงค่ะ