สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงมีพระอาการคงที่ตลอดวันอาทิตย์ (2 มี.ค.) ซึ่งเป็นสัญญาณว่า พระอาการปอดบวมทั้งสองข้างกำลังดีขึ้น
อาการประชวรของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ยังทรงตัว แต่มีแนวโน้มดีขึ้น ไม่มีไข้ และไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอีกต่อไป
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งเข้ารับการรักษาอาการประชวรด้วยโรคปอดบวม 2 ข้าง ที่โรงพยาบาลเจเมลลีในกรุงโรม อิตาลี ยังมีอาการทรงตัว แต่มีแนวโน้มดีขึ้น บรรทมสนิทตลอดคืน ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอีกต่อไป และไม่มีไข้ จากการเปิดเผยล่าสุดของสำนักวาติกัน
พระสันตะปาปาฟรานซิส พระชนมายุ 88 พรรษา ทรงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเจเมลลี (Gemelli) ในกรุงโรมมานานกว่า 2 สัปดาห์แล้ว นับตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ. เนื่องจากทรงมีพระอาการติดเชื้อทางเดินหายใจอย่างรุนแรง ซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
ขณะที่พระอาการประชวรของโป๊ปฟรานซิสคริสตศาสนิกชนทั่วโลกต่างร่วมภาวนาให้พระองค์ฟื้นตัวโดยเร็ว
เช่นเดียวกับ ชาวอาร์เจนตินาต่างรอคอยการเสด็จเยือนประเทศบ้านเกิดที่พระองค์จากไปเมื่อปี 2013 เพื่อดำรงตำแหน่งประมุขของคริสตจักรโรมันคาธอลิกมาเป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากพระสันตปาปาฟรานซิสมีสุขภาพไม่ค่อยดีนักเนื่องจากทรงต่อสู้กับโรคปอดบวม 2 ข้าง ทำให้การเสด็จเยือนครั้งนี้ดูมีแนวโน้มว่าจะเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
จิมมี่ เบิร์นส์ ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติ “ฟรานซิส โป๊ปแห่งคำสัญญาอันดี” ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2015 กล่าวว่า พระสันตปาปาฟรานซิสเสด็จเยือนต่างประเทศมาแล้วกว่า 45 ครั้งในช่วงที่ทรงดำรงตำแหน่ง รวมทั้งเสด็จเยือนอิรัก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมียนมาร์ มาซิโดเนียเหนือ บาห์เรน และมองโกเลียเป็นครั้งแรกของพระสันตปาปา แต่อดีตอาร์ชบิชอปแห่งบัวโนสไอเรสไม่เคยกลับไปอาร์เจนตินาเลย
ในเดือนกันยายน พระสันตปาปาทรงแจ้งต่อนักข่าวว่า พระองค์ต้องการไปอาร์เจนตินา โดยทรงกล่าวว่า พวกเขาคือประชาชนของเรา แต่ต้องแก้ไขปัญหาต่างๆ เสียก่อน
ในช่วงที่พระสันตปาปาฟรานซิสดำรงตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นพระสันตปาปาพระองค์แรกในละตินอเมริกา อาร์เจนตินา ต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจซ้ำแล้วซ้ำเล่าและความผันผวนทางการเมือง รัฐบาลชุดปัจจุบันนำโดย ประธานาธิบดีคาเวียร์ มิเลอิ ผู้ซึ่งช่วยทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพแต่ได้ใช้มาตรการรัดเข็มขัดที่เข้มงวด
บิชอปแห่งโรม หรือที่รู้จักกันในนาม สันตะปาปา (โป๊ป) ผู้นำทางจิตวิญญาณของคริสตชนโรมันคาทอลิกกว่า 1,300 ล้านคนทั่วโลก และทรงเป็น "ผู้นำรัฐวาติกัน" ทรงมีบทบาทสำคัญในการเทศน์สั่งสอน รักษาความเป็นเอกภาพของคริสตชน และบริหารจัดการศาสนจักร นอกจากนี้ พระองค์ยังมีบทบาทสำคัญในเวทีการทูตระดับโลก ทรงพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆ และแสดงจุดยืนของศาสนจักรต่อประเด็นระหว่างประเทศ
โป๊ปฟรานซิส ทรงเป็นสันตะปาปาองค์แรกที่ไม่ได้มาจากทวีปยุโรป
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระประมุขพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก และพระประมุขแห่งนครรัฐวาติกัน ทรงเป็นพระสันตะปาปา ลำดับที่ 266 มีพระนามเดิมว่า ฮอร์เก มาริโอ แบร์โกลิโอ
ประสูติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1936 (พ.ศ. 2479) ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเคมี จากมหาวิทยาลัยบัวโนสไอเรส และประกาศนียบัตรสาขาวิชาปรัชญา จาก ColegioMáximo San José
ทรงเป็นอาจารย์วิชาวรรณกรรมและจิตวิทยาที่ Colegio de la Inmaculadaและ Colegio del Salvador ทรงศึกษาวิชาเทววิทยา (theology) และถวายพระองค์เป็นนักบวชบาทหลวงในคณะแห่งพระเยซูเจ้า (เยสุอิต) จากนั้น ทรงดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ทางเทววิทยา โดยทรงสอนที่มหาวิทยาลัย Facultades de Filosofía y Teología de San Miguel
พระองค์เป็นชาวอาร์เจนตินา เกิดที่บัวโนสไอเรส ในครอบครัวชาวอิตาเลี่ยนที่อพยพหนีความยากจนจากประเทศอิตาลีมาตั้งรกรากในอาร์เจนตินา
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสถือว่าเป็นสันตะปาปาองค์แรกที่ไม่ได้มาจากทวีปยุโรปนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 เเละยังเป็นสันตะปาปาองค์แรกจากทวีปอเมริกาใต้ และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกที่มาจากคณะเยสุอิต (Society of Jesus) คณะนักบวชที่เคยถูกยุบในปลายศตวรรษที่ 18
ชีวิตในอาร์เจนตินา สู่แนวคิดแห่งความเมตตาและการช่วยเหลือ
ชีวิตของโป๊ปฟรานซิส ถูกหล่อหลอมจากเหตุการณ์ในอาร์เจนตินา โดยเฉพาะเรื่องความยากจนและความเหลื่อมล้ำเป็นพิเศษ โดยอาร์เจนตินาเคยเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดของโลก ในปี 1913 แต่กลับเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ และความไม่มั่นคงทางการเมือง ปัญหาคอร์รัปชันและความยากจนทำให้ชุมชนแออัดขยายตัวอย่างรวดเร็ว
หลายคนไม่ว่าจะเป็น นักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน ปัญญาชน รวมถึงบาทหลวงและนักบวช ตัดสินใจออกมาช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เหล่านี้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับกระแสต่อต้านจากรัฐบาล
ในช่วงการปราบปรามของรัฐบาลเผด็จการอาร์เจนตินา ฮอร์เฮ มารีโอ แบร์โกกลีโอ (ชื่อเดิมของโป๊ปฟรานซิส) ใช้โรงเรียนของคณะเยสุอิตให้เป็นสถานที่หลบภัยของผู้ที่ถูกรัฐบาลหมายหัว โดยให้เหตุผลว่าเป็นการฟื้นฟูทางจิตใจ
เพื่อนสนิทของพระองค์อย่าง เอส์เธร์ บาล์เลสตรีโน หนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม Mothers of Plaza de Mayo ที่ช่วยเหลือมารดาของผู้ที่ถูกอุ้มหาย ถูกทางการสังหารอย่างโหดเหี้ยม เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อความคิดของโป๊ปฟรานซิสอย่างลึกซึ้ง และกลายเป็นรากฐานสำคัญในการให้ความสำคัญกับผู้ยากไร้
แนวทางปฏิบัติของโป๊ปฟรานซิส การคืนความศรัทธาให้ศาสนจักร
ในปี 1998 เมื่อโป๊ปฟรานซิสยังดำรงตำแหน่งอัครสังฆราชแห่งบัวโนสไอเรส พระองค์ได้เพิ่มจำนวนบาทหลวงในชุมชนแออัด เพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น และให้ศาสนจักรมีบทบาทในการช่วยเหลือประชาชนอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
ตลอดรัชสมัยของพระองค์ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงมุ่งมั่นปฏิรูปศาสนจักร โดยเน้นย้ำ ความเรียบง่าย ความเมตตา และการช่วยเหลือผู้ยากไร้ นอกจากนี้ยังทรงเรียกร้องให้คริสตจักรมีความโปร่งใสมากขึ้น รวมถึงการปฏิรูปด้านการเงินของวาติกัน ซึ่งเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการทุจริต