หัวเว่ยดัน 5.5G หนุนไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางดิจิทัลอาเซียน

04 มี.ค. 2568 | 06:49 น.

หัวเว่ยรุกดันเทคโนโลยี 5.5G หนุนไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน สรา้งโอกาสใหม่หลากหลายอุตสาหกรรม ทั้ง การผลิต ดูแลสุขภาพอัจฉริยะ และพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI

นายเฉา หมิง (Cao Ming) รองประธานบริษัทหัวเว่ย และประธานฝ่ายโซลูชันไร้สายของหัวเว่ย กล่าวว่า ประเทศไทยเร่งเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนวัตกรรมด้านการเชื่อมต่อยังคงเป็นรากฐานสำคัญของความก้าวหน้า เทคโนโลยี 5G ที่พัฒนาไปสู่ 5.5G ไม่เพียงแค่เพิ่มความเร็วของเครือข่ายเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรม 

ตั้งแต่การผลิตอัจฉริยะและการดูแลสุขภาพอัจฉริยะ ไปจนถึงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI การลงทุนอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยีการเชื่อมต่อรุ่นถัดไปจะมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมขีดความสามารถทางธุรกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนหลายล้านราย

ทั้งนี้ ไทยถือเป็นประเทศลำดับต้นด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในภูมิภาค ด้วยอัตราการเติบโตของการใช้งาน 5G ที่รวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลและเสริมสร้างศักยภาพของเศรษฐกิจดิจิทัลให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง 

ด้วยการมาของ 5.5G ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคแห่งการปฏิรูปทางดิจิทัลในระดับที่ล้ำหน้ายิ่งขึ้น  ตัวอย่างสำคัญของความก้าวหน้านี้คือความร่วมมือระหว่าง AIS ไชน่า ยูนิคอม และหัวเว่ย ในปี 2567 เพื่อพัฒนาโรงงานอัจฉริยะของ Midea ซึ่งเป็นโรงงานแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เชื่อมต่อด้วยเครือข่าย 5G อย่างเต็มรูปแบบ การนำเครือข่าย 5G เฉพาะทางมาใช้ช่วยให้ทุกกระบวนการผลิตเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 15%–20%

 เทคโนโลยี 5.5G กำลังก้าวสู่การปฏิรูปครั้งสำคัญในระบบการเชื่อมต่อ ด้วยความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดถึง 10 Gbps และความเร็วในการอัปโหลดไม่ต่ำกว่า 500 Mbps ทำให้การใช้งานที่ราบรื่นและไร้รอยต่อ 

ขณะที่ค่าความหน่วงต่ำเพียง 1 มิลลิวินาที (1ms) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับแอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ได้ อีกทั้งการบริหารจัดการเครือข่ายอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเสถียรภาพของระบบให้ดียิ่งขึ้น 

“ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมดิจิทัลและเปิดโอกาสให้เกิดบริการนวัตกรรมที่ล้ำสมัย เช่น แอปพลิเคชัน IoT อัจฉริยะ ประสบการณ์ดิจิทัลแบบสมจริง เช่น ระบบสื่อสารอัจฉริยะระหว่างยานพาหนะ (Advanced Vehicle-to-Everything Communication) และโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI”

นายเฉา หมิง กล่าวอีกว่า ตั้งแต่ยุค AI บนมือถือเริ่มต้น การบูรณาการระหว่าง 5G-Advanced และ AI อย่างต่อเนื่องจะเปลี่ยนโฉมธุรกิจโทรคมนาคมแบบดั้งเดิม รวมถึงสร้างโอกาสมหาศาลให้แก่อุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ และยกระดับการใช้งาน และบริการสู่มิติใหม่

อย่างไรก็ดี หัวเว่ยยังมุ่งพัฒนานวัตกรรม โดยผสานรวม 5G-Advanced และ AI พร้อมเดินหน้าพัฒนาเครือข่ายสำหรับ AI (Networks for AI) และ AI สำหรับเครือข่าย (AI for Networks) ควบคู่กัน 

ด้าน Networks for AI หัวเว่ยมุ่งใช้ทรัพยากรคลื่นความถี่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยกระดับประสิทธิภาพเครือข่าย และพัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้งาน พร้อมทั้งลดต้นทุนเครือข่ายต่อบิต 

ขณะที่ในส่วนของ AI for Networks บริษัทมีแผนใช้สถานีฐานดิจิทัลและตัวช่วย AI สำหรับเครือข่ายไร้สาย (Wireless AI Agents) เพื่อสนับสนุนผู้ให้บริการโทรคมนาคมในการพัฒนาเครือข่ายอัตโนมัติระดับ 4 (Level 4 Autonomous Networks) ที่มีคุณภาพและยกระดับประสิทธิภาพให้สูงขึ้น 

“หัวเว่ยและไชน่า ยูนิคอม จะร่วมมือกันพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของ 5G-Advanced และ AI”

นายหวัง ลี่หมิน (Wang Limin) รองผู้จัดการทั่วไป ไชน่า ยูนิคอม เปิดเผยว่า ไชน่า ยูนิคอม ได้นำเทคโนโลยี 5G-Advanced และ F5G-Advanced มาพัฒนาโซลูชันการสื่อสารความเร็วสูงระดับ 10 Gbps อัจฉริยะ และปลอดภัย เพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว โดยอิงตามแผนปฏิบัติการที่เพิ่งเปิดตัว โดยบริษัทมุ่งที่จะร่วมมือกับพันธมิตรในหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรม 5G-Advanced พร้อมทั้งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของประเทศจีน