จีนเตรียมแผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ขับเคลื่อนด้วยพันธบัตรพิเศษมูลค่าสูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยรอยเตอร์รายงานว่า ทางการจีนเตรียมออกพันธบัตรพิเศษมูลค่า 3 ล้านล้านหยวน หรือราว 4.11 แสนล้านดอลลาร์ (คิดเป็นประมาณ 14.3 ล้านล้านบาทไทย) ในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งถือเป็นมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ แหล่งข่าวเผยว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว และเตรียมรับมือกับผลกระทบจากการขึ้นภาษีสินค้าจีนโดยสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในปีหน้า
พันธบัตรพิเศษเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในหลายโครงการสำคัญ เช่น โครงการส่งเสริมการบริโภคผ่านการอุดหนุนสินค้าอุปโภคบริโภค การลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง การปรับปรุงเครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรม และการเพิ่มทุนให้ธนาคารรัฐที่กำลังเผชิญปัญหา ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างเสถียรภาพและกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
โครงการใหม่สองโครงการที่จะได้รับงบประมาณจากพันธบัตรพิเศษนี้คือ การอุดหนุนการซื้อสินค้าทดแทน เช่น การแลกรถยนต์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่ากับสินค้าชิ้นใหม่ในราคาพิเศษ และการอุดหนุนธุรกิจขนาดใหญ่ในการอัปเกรดเครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ในส่วนของโครงการสำคัญอื่นๆ งบประมาณจะถูกใช้ในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างทางรถไฟ สนามบิน และพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ
เศรษฐกิจจีนในปีนี้เผชิญความท้าทายจากวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้สินท้องถิ่นที่เพิ่มสูง และความต้องการของผู้บริโภคที่อ่อนแอ ส่งผลให้รัฐบาลต้องพึ่งพามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเพื่อชดเชยความเสี่ยงจากการส่งออกที่อาจลดลง
การประชุมเศรษฐกิจประจำปีของจีนเมื่อวันที่ 11-12 ธันวาคมที่ผ่านมา มีมติว่าจำเป็นต้องรักษาเสถียรภาพของการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมเพิ่มอัตราส่วนขาดดุลงบประมาณและออกหนี้รัฐบาลเพิ่มในปีหน้า แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ
แหล่งข่าวของรอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่า จีนตั้งเป้าการขาดดุลงบประมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 4 ของ GDP และคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ประมาณร้อยละ 5 ในปีหน้า
การออกพันธบัตรพิเศษมูลค่ามหาศาลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของจีนในการก่อหนี้เพิ่มเพื่อรับมือกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่รุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบที่อาจเกิดจากการเก็บภาษีสินค้าจีนที่อัตราสูงกว่า 60% หากทรัมป์ทำตามคำมั่นสัญญาในการรณรงค์หาเสียง
มาตรการนี้ยังเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของจีนในการลงทุนใน "กำลังการผลิตใหม่" ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และพลังงานสีเขียว เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกและสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
สำหรับโครงการขนาดใหญ่ รัฐบาลจีนยังคงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนากลยุทธ์ระดับชาติ เช่น การสร้างระบบขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำหรับการเติบโตในระยะยาว ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคชาวจีนยังคงเผชิญความท้าทายจากราคาที่อยู่อาศัยที่ลดลงและระบบสวัสดิการสังคมที่ยังไม่ครอบคลุม ทำให้การกระตุ้นการบริโภคในประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องผลักดันอย่างต่อเนื่อง